ผู้สนับสนุนความรวย

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทนำ : หลักสูตร 7วันฉันจะเป็นเศรษฐี

บทนำ : What? Why? How? : เศรษฐี คือ อะไร?
ทำไมต้องเป็นเศรษฐี? จะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร?
สวัสดีครับทุกท่าน ผม อ.นเรศ สีละมัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รวยอย่างมีความสุข จำกัด ขอยินดีต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่ หลักสูตรพื้นฐาน : 7 วันฉันจะเป็นเศรษฐี หลักสูตรที่จะชี้แนะแนวทางในการเป็นเศรษฐีเงินล้านให้ท่านได้เรียนรู้กันแบบฟรีๆ(อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น)
สิ่งที่ท่านต้องทำ มีเพียงแค่ “เปิดใจเรียนรู้ และลงมือทำตามทุกขั้นตอนอย่างไม่ต้องลังเลสงสัยใดๆทั้งสิ้น” เพราะมันเป็นแนวทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ท่าน “ย้ายตัวเองจากฝั่งของ คนจน หรือ ชนชั้นกลาง ไปสู่ฝั่งของคนรวยอย่างมีความสุข ได้อย่างแท้จริง” ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยนะครับ....
ในบทนำนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจ คำ 3 คำนี้ก่อน คือ What? Why? How? To Millionaire เพราะมันเป็นเหมือนเข็มทิศที่จะชี้นำแนวทางที่ถูกต้องในการเป็นเศรษฐีให้กับท่าน
ที่ผมต้องนำ 3 คำนี้มาอยู่ในบทนำ ก็เนื่องจากว่า “ที่ผ่านมา ท่านอยากเป็นเศรษฐีก็จริง แต่ท่านเดินทางไปไม่ถูกทิศทาง” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องมีเข็มทิศชี้นำแนวทางที่ถูกต้อง


What? : เศรษฐี คือ อะไร?
เศรษฐี ในนิยามของผม คือ “เศรษฐีผู้มีความสุข” หรือ “คนรวยอย่างมีความสุข(Rich Happily)” นั่นเอง อธิบายได้ว่า การเป็นคนรวย และ มีความสุขไปพร้อมๆกัน(มีเงิน + มีความสุข)
มีเงิน ในที่นี้ หมายถึง “การอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไร แต่มีเงินไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย” (การ ที่ท่านจะอยู่เฉยๆแต่มีเงินไหลเข้ามาท่านต้องสร้างระบบที่เรียกว่า “เครื่องจักรปั๊มเงินล้านตลอด 24 ชั่วโมง” ไม่งั้นก็จะอยู่เฉยๆไม่ได้)
มีความสุข ในที่นี้ หมายถึง “การมีอิสรภาพทางด้านการเงิน เวลา และสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง” อยาก ทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปไหนก็ได้ไป อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ อยากกิน อยากนอน อยากเที่ยว อยากพักผ่อน อยากไปทำบุญ อยากไปทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม …..ฯลฯ...... ก็ทำได้อย่างมีอิสระ ไม่อยู่ใต้อาณัติของใคร..นั่นเอง
ทรัพย์สินของเศรษฐี ในนิยามของผม ไม่ควรจะมีมูลค่าต่ำกว่า 10,000,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถ ที่ดิน..นอกจากนี้แล้ว รายได้(แบบอยู่เฉยๆ)ของเศรษฐีก็ควรจะมีรายได้ ไม่ต่ำกว่า เดือนละ 1,000,000 บาท
กิจกรรม ในแต่ละวันของเศรษฐี ควรจะเต็มไปด้วยกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่คดโกงใคร ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ผิดศีลธรรม/จารีตประเพณีอันดีงาม...
ทั้งหมดนี้ เป็นนิยามของ “เศรษฐี” ในมุมมองของผม และเป็นที่แน่นอนว่า นี่เป็นเข็มทิศให้ท่านได้เดินตามแนวทางนี้เท่านั้น ถ้าท่านไม่ต้องการเป็นเศรษฐี ตามนิยามนี้ ท่านก็ควรจะหยุดการเรียนรู้หลักสูตรนี้ตั้งแต่วินาทีนี้เลย! เพราะจากนี้ไปจนตลอดหลักสูตร ผมจะพูดถึงเฉพาะแนวทางนี้เท่านั้น....
ถ้าท่านยอมรับแล้วว่า “ท่านชื่นชอบแนวทาง การเป็นเศรษฐี ตามแนวทางของผม” ผมก็ขอยินดีต้อนรับทุกท่านร่วมเดินทางไปกับผมตลอดเส้นทาง โดยเรามีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ “การเป็นเศรษฐีผู้มีความสุข” หรือ “การเป็นคนรวยอย่างมีความสุข(Rich Happily)” มาถึงตอนนี้ท่านก็พร้อมที่จะเรียนรู้ คำที่สอง ได้แล้ว...
Why? : ทำไม ต้องเป็นเศรษฐี?
นี่ เป็นคำที่สอง ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องทำความเข้าใจ(คนจน 99% ไม่เคยใส่ใจคำนี้ ก็เลยฝังตัวเองอยู่กับความยากจนตลอดเวลา) เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ท่านไม่ทำความเข้าใจว่า “ทำไม ต้องเป็นเศรษฐี” ท่านก็จะจมอยู่ที่เดิม คิดสิ่งเดิมๆ เขียนสิ่งเดิมๆ พูดสิ่งเดิมๆ และลงมือทำสิ่งเดิมๆ แน่นอนว่า “สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น มันเป็นสาเหตุแห่งความยากจน” นั่นเอง.... และนี่ คือ เหตุผลที่ท่านต้องเป็นเศรษฐี...
เหตุผลข้อ 1 : เพื่อ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ของตัวท่านเอง
นี่ คือ เหตุผลแรก ที่ท่านต้องเป็นเศรษฐี …..... เพราะไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า “ความกตัญญูกตเวที” อีกแล้ว ท่านมีลมหายใจเข้าออกได้ถึงวันนี้ ก็เพราะมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นผู้ให้กำเนิดท่านมา ถามตัวท่านเองว่า
- 9 เดือน ที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไหน? จะลุกจะเดินจะนั่งจะนอนต้องคอยระวังไม่ให้ตัวท่านกระทบกระเทือน จะทานอาหารอะไรลงไปก็ละเมียดละไมเป็นอย่างดีเพราะกลัวจะทำให้ท่านไม่ได้รับ สารอาหารที่มีประโยชน์ จะเครียดก็ไม่ได้ จะทำงานหนักก็ไม่ได้.....ฯลฯ...
- วันแรกที่ท่านลืมตาขึ้นมาดูโลก ทุกคนต่างวิ่งวุ่นกันขนาดไหน? ทั้ง พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องของท่านต่างเฝ้ารอคอยดูใบหน้าท่าน เฝ้ารอคอยที่จะเห็นทารกน้อยผู้น่ารักมีอาการครบ 32 ประการ ก่อนหน้านั้นทุกคนต่างวิ่งวุ่นจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับ ทารกน้อยผู้นี้ จัดเตรียมข้าวปลาอาหารอย่างดี เบาะนอนนุ่มๆ ผ้าอ้อมที่สะอาดๆ …. น้ำนมหยดแรกที่ไหลเข้าปากท่านก็ไหลออกมาจากสายเลือดของมารดา น้ำนมหยดที่สอง..สาม...สี่.....ก็ไหลออกมาจากความรักความห่วงใยที่มีต่อ ท่านอย่างล้นปรี่ เต็มไปด้วยความหวังที่จะเห็นทารกน้อยเติบโตขึ้นทุกวัน...
- ก้าวแรกจากฝ่าเท้าน้อยๆของท่าน ได้รับการประคบประหงมแค่ไหน? ทุกๆคนล้วนเป็นกำลังใจให้ท่านได้ลุกแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยตัวท่านเอง... พอท่านเริ่มจะยืนได้ .. เดินได้.. วิ่งได้... เริ่มจะเข้าใจภาษามนุษย์ ทุกคนต่างปลาบปลื้มยินดี.. แล้วเตรียมสถานที่เรียนรู้ให้กับท่านได้เรียนรู้ตามอัตภาพ ตั้งแต่ อนุบาล จนถึง ปริญญา...ด้วยความหวังที่ว่า ท่านจะสามารถเอาตัวรอดได้ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีซึ่ง กันและกัน....
ทุกวันนี้ ผู้มีพระคุณของท่านเหล่านี้ เริ่มจะแก่ชรา..หมดเรี่ยว..หมดแรง..ลงไปทุกขณะ...ใช่หรือไม่??? คำถามคือ “ท่านตอบแทนพระคุณของท่านด้วยอะไร??????” บางท่านถึงกลับต้องล้มหายตายจากไปตามสังขาร.. คนที่อยู่ก็รอวันตายอยู่ทุกขณะๆ... แล้วท่านจะตอบแทนพระคุณท่านได้ตอนไหน???
ท่านจะตอบแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร ถ้าท่านยัง ยากจนข้นแค้น อยู่อย่างนี้?”
          - ท่านจะอดทนอยู่อย่างลำบากขัดสนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
- ท่านจะรอให้เห็นคราบน้ำตาแห่งความอดอยากปากแห้งของผู้มีพระคุณของท่านก่อนใช่ไหม?
- ท่านจะรอจุดธูป 1 ดอก แล้วกราบแบบไม่แบมือ 1 ครั้งต่อหน้าศพของผู้มีพระคุณก่อนใช่ไหม?
- ท่านจะรอดู คนแก่ๆหลังงุ้มๆเดินก็เซ หัวก็สั่นงกๆ ทำงานแทบไม่ไหวก่อนใช่ไหมท่านถึงจะรวย?
ผมบรรยายมาถึงขนาดนี้ ท่านเริ่มจะมองเห็นภาพหรือยังว่า ทำไมท่านถึงต้องเป็นเศรษฐี? สรุปง่ายๆก็คือ เหตุผลที่ 1 เพื่อตอบแทนพระคุณ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย หรือผู้มีพระคุณต่อท่าน นั่นเอง
เหตุผลข้อ 2 : เพื่อตัวท่าน และคนที่ท่านรัก
ถูกต้องแล้วครับ เหตุผลที่ 2 ที่ตัวท่านเอง ต้องเป็นเศรษฐีก็คือ “เพื่อตัวท่าน และคนที่ท่านรัก” นั่นเอง ไม่มีอะไรจะสำคัญและยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว..
ท่าน รู้หรือไม่ว่า “ทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะมีอิสรภาพ” มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ อยู่ไหนก็ได้ มีอิสรเสรีอย่างเต็มที่ แต่โลก ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้ผู้คนถูกกังขังไว้ เพียงเพราะ ไม่มี “เงิน” นั่นเอง
ผมจะเปรียบ เทียบให้ท่านได้เห็นภาพอย่างชัดเจน ระหว่าง “คนมีเงิน 100,000,000 ในบัญชีธนาคาร” กับ “คนที่มีเงิน 1,000,000 บาทในบัญชีธนาคาร”(ไม่นับรวมรายได้ในแต่ละเดือน)

ที่
 รายการซื้อทรัพย์สิน
คนที่มีเงิน 100,000,000 บาท
คนที่มีเงิน 1,000,000 บาท
ราคาทรัพย์สิน
เงินคงเหลือ
ราคาทรัพย์สิน
เงินคงเหลือ
1
บ้าน พร้อม ที่ดิน
10,000,000 บาท
90,000,000 บาท
400,000 บาท
600,000 บาท
2
เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน
5,000,000 บาท
85,000,000 บาท
100,000 บาท
500,000 บาท
3
รถยนต์/สินค้าไอที ฯลฯ
10,000,000 บาท
75,000,000 บาท
300,000 บาท
(มือสองสภาพดี)
200,000 บาท
4*
ธุรกิจอสังหาฯ/หุ้น ฯลฯ
50,000,000 บาท
25,000,000 บาท
80,000 บาท
120,000 บาท
5**
ค่าใช้จ่ายอุปโภค/บริโภค
12,000,000 บาท : 10 ปี
13,000,000 บาท
120,000 บาท : 1 ปี
0 บาท
เป็น ไงกันบ้างครับ จากตารางเปรียบเทียบดังกล่าว ท่านเริ่มจะมองเห็นสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันหรือยังว่า คนฝั่งไหนจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากกิน อยากเล่น อยากเที่ยว อยากนั่ง อยากนอน อยากเล่นเกม อยากทำอะไรต่อมิอะไร....ฯลฯ......
โดยเฉพาะ ในลำดับที่ 4 – 5 ท่านลองคิดดูสิครับว่า ถ้าเศรษฐีมีธุรกิจที่มีมูลค่า 50,000,000 บาท ขนาดนั้น รายได้ของเขาจะเข้ามาขนาดไหน? (เทียบกับธุรกิจมูลค่า 80,000 บาทดูสิครับ) ค่าใช้จ่ายอุปโภค/บริโภค ของเศรษฐีตั้งไว้เดือนละ 100,000 บาท จ่ายล่วงหน้าไปอีก 10 ปี เทียบกับค่าใช้จ่าย ปีละ 120,000 บาท แล้วท่านรู้สึกยังไง????? ใครมีความมั่นคงทางจิตใจมากที่สุด? ใครจะมีสมาธิในการทำงาน? ใครจะมีจิตที่สงบ สว่าง และสะอาดกว่ากัน???
จาก ตารางดังกล่าวนี้ ผมนำมาเทียบแค่ 2 กลุ่มเท่านั้น นี่ขนาดมีเงิน 1,000,000 บาทในบัญชีธนาคาร ยังไม่สามารถเกษียณการทำงานได้ ยังต้องดิ้นรนทำงานหรือสร้างธุรกิจจากน้อยแล้วค่อยขยับขยายกันอยู่เลย... คำถามที่ผมจะถามก็คือ “ตอนนี้ ท่านมีเงิน 1,000,000 บาท ในบัญชีธนาคารหรือยัง?”
ถ้า คำตอบของท่าน คือ “เงินในบัญชี ณ ตอนนี้ ยังไม่ถึง 1,000,000 บาท” ผมขอถามกลับว่า “แล้วความมั่นคงของท่านมันอยู่ไหน?” ท่านยังต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ผ่อน.....ฯลฯ อยู่เลยใช่หรือไม่???? ถ้าใช่?ผมขอถามอีกว่า “ถ้าเกิดท่านประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงถึงขั้นพิการ ตัดแขน ตัดขา ผ่าตัด...?... หรือเป็นโรคร้ายแรงอย่างกะทันหัน ณ เวลานี้ทันที เช่น โรคมะเร็ง โรคตับ โรคหัวใจ โรคเอดส์ โรค....?.... คนที่อยู่ข้างหลังท่านจะอยู่อย่างไร? เขาจะมีวิถีชีวิตแบบไหน? เขาจะกินจะอยู่จะใช้ชีวิตอย่างไร? น้ำตาของพวกเขาจะไม่ไหลออกมาเป็นสายเลือดเหรอ??
ท่านควรจะหลับตา จินตนาการดูว่า ที่ผมสาธยายมาเมื่อสักครู่ ถ้ามันเกิดขึ้นกับท่าน ณ วินาทีนี้ “ท่านจะรู้สึกสยดสยองแค่ไหน? ท่านจะเจ็บปวดและทรมานสักเพียงใด????”
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านรู้ถึงความจำเป็นหรือยัง ว่า “ท่านควรจะเป็นเศรษฐี หรือ เป็นคนจนยากไร้???” ท่านลองหลับตาอีกครั้งแล้วจินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้...
- บ้าน ที่แสนจะอบอุ่น อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และน้ำมันหอมละเหย...มีเฟอร์นิเจอร์ที่ครบครัน หรูหราโอ่อ่า.. พรมปูพื้นให้ท่านเดินตลอดทั้งตัวบ้าน.. ห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน ดูสวยงาม เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย มีน้ำอุ่นที่ปรับอุณหภูมิเป็นองศาได้ มีน้ำมันหอมละเหยอบอวลขณะอาบน้ำ... มีเครื่องประทินผิวหน้าผิวกายให้สวยสดใส.. อาหารที่รับประทานอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย... ผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษและผ่านขั้นตอนการปลูกอย่างสะอาดปลอดภัยจัดเรียง ตกแต่งไว้รอท่านอย่างพิถีพิถัน....ฯลฯ....
- รถยนต์ ที่ดูหรูหราโออ่า.. และมีความปลอดภัยเป็นเลิศ... บรรจงขับด้วยความนุ่มนวลไปตลอดเส้นทาง... มีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน... กลิ่นหนังแท้ลอยอบอวลทั่วห้องโดยสารพร้อมๆกับกลิ่นน้ำหอมอย่างดี...
- การท่องเที่ยว ไปตามจินตนาการที่โลดแล่น... กับสถานที่ที่จัดไว้เตรียมอย่างดีสำหรับแขกระดับ VIP. … มีพนักงานที่พร้อมจะคอยให้ความสะดวกตลอดเวลาที่ต้องการ... สอดประสานเข้ากับธรรมชาติรอบกายที่ช่วยจรรโลงจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ เยือกเย็น... ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติคกับคนที่ท่านรัก..ฯลฯ...
เป็นไงกันบ้างครับ.. ท่านเริ่มจะมองเห็นภาพหรือยังว่า “อารมณ์ ความรู้สึกของท่าน จะเป็นอย่างไร ถ้าสิ่งที่ท่านเพิ่งจินตนาการไป มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆกับท่านทุกคน” ที่สำคัญที่สุดคือ “สิทธิ์ในการเป็นเศรษฐี จะเป็นของท่านทุกคนที่พร้อมจะเปิดใจเรียนรู้หลักสูตรพื้นฐานนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ”(ซึ่งมันฟรีอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ)
ถ้าตอนนี้ท่าน เริ่มจะตระหนักถึงความจำเป็นที่ท่านต้องเป็นเศรษฐีให้ได้ในชาตินี้แล้วไม่ ว่าจะเพื่อบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย หรือจะเพื่อตัวท่านและคนที่ท่านรัก ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสุดท้ายที่ท่านต้องเป็นเศรษฐี คือ
เหตุผลข้อ 3 : เพื่อสังคม และเพื่อนร่วมโลก...
ถูก ต้องแล้วครับ ถึงแม้ท่านจำเป็นต้องเป็นเศรษฐีเพื่อตอบแทนพระคุณ บิดา มารดา.. และจำเป็นต้องเป็นเศรษฐีเพื่อตัวท่านและคนที่ท่านรัก แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ “สังคมและเพื่อนร่วมโลก” เพราะโดยพื้นฐานของมนุษย์แล้ว มนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ตลอดเวลา เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม นั่นเอง... “ชีวิตของทุกท่านจะดูไร้คุณค่าลงไปทันที ถ้าท่านคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและครอบครัวของท่าน!เท่านั้น!”
การใช้ชีวิตของท่านจะมีความหมายต่อโลกนี้ได้อย่างไร ถ้าท่านมัว “เห็นแก่ตัว!” เพราะฉะนั้น เพื่อ เติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชีวิตของท่าน ท่านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแบ่งปันสิ่งสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์และทรงคุณ ค่าสูงสุดให้กับผู้คน สังคม และเพื่อนร่วมโลก(เหมือนที่ผมกำลังแบ่งปัน หลักสูตรที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าสูงสุดนี้ให้กับทุกท่านแบบฟรีๆโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น)
ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ ถ้า ณ วินาทีนี้ ท่านยังไม่ได้เป็นเศรษฐี “ท่านจะช่วยเหลือผู้คน สังคมและเพื่อนร่วมโลกนี้ได้อย่างไร???” เพราะลำพังตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด!!!!!!
ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านได้ เห็นภาพง่ายๆว่า ระหว่างการบริจาคเงินเพื่อการกุศล มูลค่า “100 บาท” กับ การบริจาคเงินเพื่อการกุศล มูลค่า “100,000,000บาท” แบบไหนจะ “สร้างสรรค์ประโยชน์และมอบคุณค่าให้กับ ผู้คน สังคม และเพื่อนร่วมโลกได้มากที่สุด” คำตอบก็คือ เงิน “100,000,000 บาท ใช่ หรือ ไม่?????”
ท่านอย่าพยายามตำหนิ ติเตียน หรือหาข้ออ้างไปโจมตีบรรดาเศรษฐีที่บริจาคเงินให้กับมูลนิธิต่างๆมูลค่า ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน....ด้วยประเด็นที่ว่า “พวกเขาเหล่านั้นสร้างภาพ อยากได้หน้า โอ้อวด..ฯลฯ...” เพราะมันเป็นความคิดที่เต็มไปด้วยความอิจฉา ริษยา อย่างรุนแรง... เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านขึ้นไปยืนบนแท่นของเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินมูลค่า หมื่นล้าน แสนล้านแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น “เงิน มันก็แค่เศษกระดาษธรรมดาๆเท่านั้นเอง!” เมื่อไหร่ที่ท่านมีเงินมากๆ ความรู้สึกอิ่มมันจะเกิดขึ้นกับท่านทันที ยกตัวอย่างง่ายๆ...
สมมติ ว่า วันนี้ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ท่านยังไม่ได้ทานอาหารอะไรเลย ท่านรู้สึกหิวจนตาลาย หมดเรี่ยวหมดแรง..จนเกือบจะเดินไปไหนไม่ได้...สิ่งที่มันคุกรุ่นอยู่ในหัว สมองของท่าน ณ ขณะนั้น คือ “การทานอะไรก็ได้ ใช่ หรือ ไม่?” ยิ่งปล่อยเวลาไปนาน“ท่านก็ยิ่งจะโมโหหิว ใช่ หรือ ไม่?” สิ่งที่ท่านต้องการอย่างแรงกล้าที่สุด(ถึงขั้นฆ่าคนตายได้เลยถ้ามีใครมาขัด ขวาง) คือ “การทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ” ใช่ หรือ ไม่?
ประเด็นก็คือ “ถ้าผมพาท่านไปร้านบุฟเฟ่ต์ ซึ่งสามารถตักอาหารทานได้ทุกอย่าง เลือกที่จะปรุงเองก็ได้ สามารถทานได้ไม่อั้น.. ทานจนท่านแน่นท้อง.. ทานอิ่มจนถึงขนาดไปไหนไม่ได้...” ถ้าเป็นแบบนี้ “ท่านยังจะฝืนทานมันลงไปอีกได้หรือไม่?” คำตอบ คือ ท่านจะไม่สามารถทานอาหาร ณ ตอนนั้นได้อีกเลย เพราะท่านอิ่มแล้ว..นั่นเอง
เปรียบได้กับ “เศรษฐี ผู้มีทรัพย์สินมูลค่า หมื่นล้าน แสนล้าน” ซึ่ง เงินร้อยล้าน ก็เป็นได้แค่เศษกระดาษในสายตาของพวกเขา เพราะ“พวกเขามีมันอย่างเหลือเฟือ”นั่นเอง(เหมือนกับท่านอิ่มจนทานอะไรไม่ได้อีกแล้วนั่นแหละ)
เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำ คือ “การแบ่งปัน”
“การแบ่งปัน”นี่เอง ที่เป็นแก่นแท้ที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า “สัตว์ประเสริฐ” ประเด็นสำคัญที่สุดคือ “ยิ่งท่านแบ่งปัน ท่านยิ่งจะได้กลับคืนมาร้อยเท่า พันทวี” นี่แหละคือหัวใจสำคัญสูงสุดของหลักสูตรนี้ และ นี่เองที่เป็นเหตุผลที่ท่านต้องรีบเป็นเศรษฐี เพราะท่านจะได้แบ่งปันสิ่งดีๆที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าสูงสุด”นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุผลที่ท่านต้องเป็นเศรษฐี เพราะท่านเกิดมาเพื่อทำภารกิจนี้.....นั่นเอง
How? : จะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร?
การเป็นเศรษฐี มันง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก ขอย้ำนะครับว่า “การเป็นเศรษฐี มันง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก(ถ้าท่านรู้วิธีการที่ถูกต้อง)” ทำไม ผมถึงบังอาจที่จะพูดแบบนี้?
คำตอบ คือ “เพราะผมล่วงรู้สุดยอดเคล็ดลับ วิธีการเป็นเศรษฐี” นั่นเอง
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะตั้งคำถามว่า “ผมไปล่วงรู้สุดยอดเคล็ดลับ วิธีการเป็นเศรษฐี ได้อย่างไร?”
คำตอบ คือ ผมล่วงรู้สุดยอดเคล็ดลับ วิธีการเป็นเศรษฐี ผ่านผลงานการวิจัยเชิงคุณภาพ ในหัวข้อ
“ปัจจัย ที่ส่งผลให้ คนจน กลายเป็น คนรวยอย่างมีความสุข”
ซึ่งเป็นการวิจัยส่วนบุคคล (ออกแบบและดำเนินการวิจัย โดยผม อ.นเรศ สีละมัย) ซึ่งเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เศรษฐีผู้มีความสุข 100 กว่าคน , การศึกษาหนังสือ/เอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นพันๆเล่ม และการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเป็นเวลาพันๆชั่วโมง.... จนได้ข้อสรุปออกมาเป็น ทฤษฎี : การเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุข ดังภาพ

 
จากภาพ ทฤษฎี : การเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุข ได้แสดงขั้นตอนหรือกระบวนการในการเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างมีความสุขไว้ทั้งหมด 3 กระบวนการ คือ
ขั้นตอนที่ 1 : ตั้งเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 2 : วางแผน
ขั้นตอนที่ 3 : ลงมือทำ
ซึ่งรายละเอียดในเบื้องต้น จะถูกบรรจุไว้ใน หลักสูตรพื้นฐาน : 7 วันฉันจะเป็นเศรษฐี ที่ท่านกำลังเรียนรู้อยู่ ณ ตอนนี้ นั่นเอง (ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผมนำมาแบ่งปันให้กับท่านได้เรียนรู้กันแบบฟรีๆอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น)
เนื้อหา ทั้งหมดที่ท่านจะได้เรียนรู้(กันแบบฟรีๆ) ผมได้แบ่งออกเป็น 7 บทเรียน และเพื่อเป็นการทำความเข้าใจเนื้อหาในแต่ละบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ผมจึงแทน 7 บทเรียนด้วยคำว่า “ 7 วัน ฉันจะเป็นเศรษฐี” เพื่อเป็นการชี้แนวทางว่า “ท่านควรจะเรียนรู้วันละ 1 บทเรียน” เพราะในแต่ละบทเรียน ผมมี Workshops ให้ท่านได้ทำตามแบบ Step by Step (แบบเป็นขั้นเป็นตอน)
ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วันละ 1 บทเรียนก็ได้(ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล) เพราะท่านสามารถเรียนรู้ทั้ง 7 บทเรียนภายในวันเดียว หรือจะเรียนรู้วันละ 1 บทเรียนก็เป็นสิทธิ์ของท่าน
            วันที่ 1 : ท่านจะได้เรียนรู้ “สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 1 : คนจน อยู่ในสภาพแวดล้อมแห่ง ความยากจน”
            วันที่ 2 : ท่านจะได้เรียนรู้ “สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 2 : คนจน เลือก ที่จะเป็น คนจน”
            วันที่ 3 : ท่านจะได้เรียนรู้ “สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 3 : คนจน คิด เขียน พูด และทำ แบบ คนจน”
            วันที่ 4 : ท่านจะได้เรียนรู้ “กฎ ของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 1 : ท่านต้อง “เชื่อ”
            วันที่ 5 : ท่านจะได้เรียนรู้ “กฎ ของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 2 : ท่านต้อง “เลือก”
            วันที่ 6 : ท่านจะได้เรียนรู้ “กฎ ของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 3 : ท่านต้อง “แลก”
            วันที่ 7 : ท่านจะได้เรียนรู้ “กระบวนการของการเป็นเศรษฐี”
ใน แต่ละบทเรียนในแต่ละวัน ผมได้เพิ่มกิจกรรม(Workshops)ท้ายบทให้ทุกท่านได้ลงมือปฏิบัติทันที! หลังจากที่ท่านได้เรียนรู้ และทำ Workshops ตามในแต่ละบทเรียนแล้ว ท่านจะสามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของการเป็นเศรษฐี ซึ่งผมได้เกริ่นนำตั้งแต่ต้นแล้วว่า “การเป็นเป็นเศรษฐี มันง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก”นั่นเอง ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เรามาเริ่มเรียนรู้บทเรียนต่างได้ ณ บัดนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น