ผู้สนับสนุนความรวย

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 2 : สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 2

วันที่ 2 : สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 2 :
คนจน เลือกที่จะเป็น คนจน
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับวันที่ 2 นี้ ท่านจะได้พบกับบทเรียน ซึ่งมีชื่อว่า “สาเหตุของความยากจน ข้อที่ 2 : คนจน เลือกที่จะเป็น คนจน”
สิ่งที่ท่านจะได้เรียนรู้ ในบทเรียนนี้ คือ
      • ทำไม คนจน ถึงเลือกที่จะเป็นคนจน?
      • งานของ คนจน กับ งานของ เศรษฐี แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร?
      • มีวิธีการใดบ้าง ที่จะช่วยให้ คนจน ย้ายไปอยู่ ฝั่งของ เศรษฐีได้ ?
ทำไม คนจน ถึงเลือกที่จะเป็น คนจน?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ผมอยากจะบอกท่านเหลือเกินว่า เส้นกั้นบางๆระหว่าง คนจน กับ เศรษฐี คือคำว่า (ดีอยู่แล้ว) กับ (ดีกว่าเดิม) ดังนั้น คำถามที่ว่า ทำไม คนจน  ถึงเลือกที่จะเป็นคนจน คำตอบ คือ คนจน ติดกับดักคำว่า “ดีอยู่แล้ว” นั่นเอง
          “ดีอยู่แล้ว” ทำไมมันช่างทรงพลังถึงขนาดทำให้คนทั่วโลก 99.99% ฝังกลบตัวเองอยู่ในหลุมแห่งความยากจนตลอดหลายร้อยหลายพันปี? นั่นเป็นเพราะว่า “ดีอยู่แล้ว” มันเป็น โซนแห่งความสะดวกสบาย(Comfort zone) เป็นโซนที่ไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องยุ่ง..วุ่นวาย .......
          - ทำงานที่เดิมๆ มันก็ ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องดิ้นรนหางานใหม่
- ทำแต่สิ่งเดิมๆ มันก็
ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรให้มันวุ่นวาย
- อยู่บ้านหลังเดิมๆเก่าๆ มันก็
ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ๆหรอก ขี้เกียจกวาดบ้าน
- ขับรถคันเก่าๆเดิมๆแบบนี้ มันก็
ดีอยู่แล้ว กันแดดกันฝนได้เหมือนกัน
- แหล่งท่องเที่ยว คือ สวนสาธารณะใกล้บ้าน มันก็
ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องดิ้นหาที่เที่ยวให้ยุ่งยาก
วุ่นวายเลย
- คบเพื่อนเดิมๆ(ที่พากันกินแต่เหล้าเมายาบ้าการพนัน)แบบนี้มันก็
ดีอยู่แล้วจะเอาอะไรนักหนา
- ฯลฯ อีกมากมาย สารพัดข้ออ้างที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ

ทั้งหมดนี้ มันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตของท่านตลอด 1 – 5 ปีที่ผ่านมาใช่หรือไม่? ผลลัพธ์ที่ได้ คืออะไร? คำตอบ ก็คือ ความยากจน ไงล่ะ หรือบางคนอย่างดีหน่อยก็เป็นได้แค่ ชนชั้นกลาง เท่านั้น
ดัง นั้น ถ้าท่านเป็นหนึ่งในบุคคลที่ติดอยู่ในโซนแห่งความสะดวกสบาย(Comfort zone) ท่านก็พึงสังวรณ์เอาไว้เลยว่า ถึงแม้จะผ่านไป 1 – 5 ปีจากนี้ไป ผลลัพธ์ที่ได้มันก็จะไม่แตกต่างจากสภาพของท่าน ณ เวลานี้เลย...  เคยอยู่บ้านยังไง ขับรถคันไหน ผ่านไปอีก 5 ปีก็ยังจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สรุปได้ว่า สิ่งที่เป็นต้นเหตุของความยากจน ก็คือ การติดหล่มอยู่ในโซนแห่งความสะดวกสบาย(Comfort zone)นั่นเอง อะไรๆมันก็ ดีอยู่แล้ว .... และนี่เองคือความหมายของคำว่า
“คนจน เลือกที่จะเป็น คนจน” เพราะ ถ้าท่านไม่เลือกทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิม ก็มีค่าเท่ากับท่านได้เลือกที่เป็นคนจน นั่นเอง
ทีนี้ ไปดูฝั่งของเศรษฐีกันบ้างครับ กับคำว่า “ดีกว่าเดิม”
“คำนี้ มันเป็นคำง่ายๆ สั้นๆ แต่ทรงพลังสุดๆ” ถ้าท่านเติมอารมณ์ ความรู้สึก ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นเศรษฐี ลงไปด้วย เช่น
          - ทำงานที่เดิมๆมันก็ดีอยู่หรอก แต่เราสามารถทำอย่างอื่นเสริมรายได้ให้มัน “ดีกว่าเดิม”ก็ได้นี่นา
- มีอะไรใหม่ๆที่ทำแล้ว จะทำให้ชีวิตเรา
“ดีกว่าเดิม” บ้างมั๊ยหนา.........?
- ถ้าบ้านเรามันใหญ่กว่านี้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มันคงจะ
“ดีกว่าเดิม” อย่างแน่นอน
- ถ้ามีรถคันใหม่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอดการเดินทาง มันย่อม
“ดีกว่าเดิม” ใช่หรือไม่?
- การมีเงิน,เวลา และร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วโลก มันคงต้อง
“ดีกว่าเดิม” อย่างแน่นอน
- ลองเลือกคบเพื่อนใหม่ๆ เราคงจะมีมุมมองใหม่ๆในการดำรงชีวิตได้
“ดีกว่าเดิม” อย่างแน่นอน
- ฯลฯ อีกมากมาย... ซึ่งเป็นถ้อยคำที่จะนำพาตัวท่านมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จในชีวิต

          เป็นไงกันบ้างครับ มาถึงตอนนี้ท่านเลือกได้หรือยังว่า“ท่านจะอยู่ฝั่งไหน”ระหว่าง“ดีอยู่แล้ว” กับ “ดีกว่าเดิม”? ถ้าท่านเลือกที่จะจมปรักอยู่กับคำว่า “ดีอยู่แล้ว” ก็เลิกเรียนรู้หลักสูตรนี้ซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะมันจะเสียเวลาท่านเปล่าๆ หลักสูตรนี้ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง...
งานของ คนจน กับ งานของ เศรษฐี แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร?    คำตอบ คือ “แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ไม่เชื่อ ท่านลองเปรียบเทียบกันดูสิครับ
1) คนจน เลือก ทำงานหนัก เศรษฐี เลือกที่จะทำงานฉลาด
          อธิบายได้ว่า : คน จนเลือกที่จะขายแรงงาน มากกว่าใช้ปัญญา.. ทำไมถึงเป็นแบบนี้ คำตอบก็คือ การใช้แรงงาน การทำตามคำสั่ง มันไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้สมอง แค่ทำตามหน้าที่แล้วก็จบ เช่น เป็นกรรมกร แค่ยก แบก หิ้ว .....ตามคำสั่งของนายช่างก็จบไปวันๆ รับเงินไปวันๆ.. ได้เงินมาก็ ดื่มเหล้าเมายา/เล่นการพนันไปวันๆหลังเลิกงาน... เพราะมันเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้หัวคิด
ไปดูฝั่งของเศรษฐีกันบ้าง เศรษฐีไม่ชอบใช้แรงงานตัวเอง พวกเขาชอบใช้ปัญญาในการทำงาน เช่น ใช้คานผ่อนแรง ใช้พลังทวีคูณ ใช้ตัวช่วยอื่นๆแทนที่เขาจะลงมือทำด้วยตัวเอง และแน่นอนว่า ยิ่งเขาใช้ปัญญาในการทำงานได้ดีเท่าไหร่ รายได้ของเขาก็มากขึ้นๆๆๆๆๆเป็นทวีคูณ...
 2) คนจน เลือก ทำงานคนเดียว เศรษฐี เลือกที่จะทำงานเป็นทีม
          อธิบายได้ว่า : คน จน(รวมไปถึงชนชั้นกลาง) ต่างก็หลงคิดว่าตัวเขาเองนั้น เก่ง สุดยอด มีฝีมือเหนือกว่าใครๆ... หลงคิดว่างานนั้น ถ้าไม่ได้ลงมือทำเองมันคงจะไม่สำเร็จ.. ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาเลยไม่เคยไว้ใจใคร เลยต้องทำงานเองคนเดียว งกๆๆๆๆๆๆๆ
          - รายได้เข้ามาแค่ไม่กี่ทาง เช่น เงินเดือน+โอทีบ้างนิดๆหน่อยๆก็คิดว่าหรูเริ่ด..แล้ว
- ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ปีละครั้ง สองครั้ง ก็ถือว่าสุดยอด..แล้ว...
- มียอดขายวันละ 1,000 – 2,000 ก็ถือว่าโอเคแล้ว...

ทั้ง หมดทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนถูกฝังเอาไว้ในจิตใต้สำนึกของคนจนหรือชนชั้นกลางตลอดเวลา และแน่นอนว่า มันนำมาซึ่งความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. รายได้พอๆกับรายจ่ายอยู่ร่ำไป...
ไปดูฝั่งของเศรษฐีกันบ้าง เศรษฐีเขาเลือกที่จะทำงานเป็นทีม แบ่งงานให้กับคนอื่นไปทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เก่งหรือไม่เชี่ยวชาญ พวกเขาเลือกที่จะบริหารงานเชิงระบบ ดูภาพรวมทั้งหมด กระจายงานกันออกไปไม่ให้กระจุกอยู่กับผู้หนึ่งผู้ใด พวกเขาใช้พลังของเครือข่าย พลังของเทคโนโลยี พลังของความสามัคคีในการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน พวกเขามีทีมงานที่เป็นมืออาชีพ...
 3) คนจน เลือก มองหางานทำ(ลูกจ้าง) เศรษฐี เลือกที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ
          อธิบายได้ว่า : คนจนหรือชนชั้นกลาง ไม่ยอมรับคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีลูกจ้างคนไหน ได้เงินเดือนสูงกว่าเจ้าของธุรกิจนั้นๆ” ในเมื่อคนจนไม่ยอมรับก็เลยต้องทนตรากตรำทำงานงกๆๆๆๆๆให้คนอื่นรวย..ไม่เชื่อ ท่านลองหลับตาจินตนาการดูครับ สมมติท่านเป็นลูกจ้างโรงงานเย็บผ้า ซึ่งมีพนักงานเหมือนท่านอยู่ประมาณ 1,000 คน ถ้าสมมติท่านและคนงานคนอื่นๆได้เงินเดือน+โอที = 20,000 บาท ท่านคิดเหรอว่าเจ้าของธุรกิจเขาจะได้เงินเดือนต่ำกว่าท่าน(20,000บาท)
ถ้า เจ้าของโรงงานสามารถจ่ายเงินเดือนท่านและคนงานอีก 1,000 คน คนละ 20,000 = 20,000 X 1,000 = 20,000,000 บาทต่อเดือน ท่านไม่คิดหน่อยเหรอว่าเจ้าของโรงงานจะมีรายได้มากกว่าเดือนละ 20,000,000 บาทหรือไม่?
มันแน่นอนซะยิ่งกว่าแน่ว่า “เจ้าของโรงงานเขาเลือกที่จะทำงานฉลาดแทนงานหนัก” เขาใช้เงิน ซื้อเวลาและแรงงานท่านเดือนละ 20,000 บาท = ชั่วโมงละ 27.78 บาท(24 ชั่วโมง X 30 วัน = 720 ชั่วโมง) ถ้าสมมติ คนงาน 1 คน เย็บผ้าได้ วันละ 10 ตัว ดังนั้น คนงาน 1,000 คน เย็บผ้าได้ = 10,000 ตัว ถ้ากำไรตัวละ 200 บาท แสดงว่า 1 วัน เจ้าของโรงงานมีรายได้ คือ 10,000 X 200 = 2,000,000 บาท
ดังนั้น เจ้าของโรงงานจึงมีรายได้ต่อเดือน คือ 2,000,000 X 30 วัน = 60,000,000 บาท ใช่หรือไม่?  ถ้าเขาจ่ายเงินเดือนคนงานอย่างท่านคนละ 20,000 หรือเดือนละ 20,000,000 บาท เจ้าของโรงงานเหลือกำไร = 60,000,000 – 20,000,000 = 40,000,000 บาท ต่อเดือน ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านเห็นความแตกต่างระหว่าง “ลูกจ้าง” กับ “เจ้าของธุรกิจ” หรือยัง?
 4) คนจน เลือก ทำงานด้วยตัวเอง เศรษฐี เลือกที่จะใช้ระบบทำงานแทน
          อธิบายได้ว่า : คนจนคุ้นเคยกับการ “เอาตัวเองออกไปแลกเงิน” หรือที่เขาเรียกว่า Active Income ที่แปลว่า “รายได้จากการทำงาน” เช่น
- ถ้าท่านเป็นมนุษย์เงินเดือน ท่าน ต้องออกไปทำงาน ตอกบัตรเข้างานตามเวลา พักเที่ยงทานข้าว บ่ายก็กลับเข้าประจำที่เดิม 4 – 5  โมงเย็นก็เลิกงานกลับบ้าน บางวันมีงานล่วงเวลาก็ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย สิ้นเดือนมาก็รับเงินเดือน เป็นอย่างนี้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน .... ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- ถ้าท่านมีร้านเป็นของตัวเอง เช่น ร้านขายของชำ อู่ซ่อมรถ ร้านขายยา คลินิคตรวจรักษาโรค ฯลฯ ตื่นเช้ามาก็รีบเปิดร้าน นั่งเฝ้ารอคนเข้ามาใช้บริการ ถ้าเป็นย่านชุมชน คนเข้าออกก็เยอะ แต่ถ้าเป็นแถวนอกเมือง ก็อาจจะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน(นั่งตบแมลงวันรอ) รายได้ก็จะขึ้นๆลงๆ มีดี มีไม่ดี แต่ที่แน่ๆคือ หยุดเปิดร้านไม่ได้ เพราะหยุดเมื่อไหร่ = รายได้หยุดทันที ยกตัวอย่างเช่น คลีนิคหมอ จะให้คนอื่นมาตรวจรักษาแทนก็ไม่ได้ ต้องตรวจด้วยตัวเอง ผ่าตัดด้วยตัวเอง แบบนี้เป็นต้น
สรุปแล้ว ทั้งสองกลุ่มนี้ เป็นกลุ่ม Active Income หยุดทำงานไม่ได้ หยุดเมื่อไหร่รายได้หยุดทันที! ซึ่งแตกต่างจาก ฝั่งของเศรษฐี ที่สร้างระบบปั๊มเงินขึ้นมาแทน และเขาใช้ระบบทำงานแทนเขา เช่น
- เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงานตั้งแต่ 500 คนเป็นต้นไป เขาซื้อเวลาและแรงงานของคนงาน เพื่อให้ทำงานให้ , เจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ , เจ้าของแฟรนไชส์ขนาดใหญ่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ , เจ้าของธุรกิจเครือข่าย(MLM)ขนาดใหญ่ที่มีองค์กรใต้สายงาน 10,000 คนขึ้นไป และมียอดซื้อซ้ำทุกเดือน ฯลฯ
- นักลงทุน ที่มีพอร์ตการลง ทุนอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น ลงทุนในที่ดินหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า(บ้านเช่า/หอพัก/ โรงแรม/รีสอร์ท...), ลงทุนในหุ้น/กองทุนรวม, ลงทุนในธุรกิจการเงิน/ธนาคาร/จัดไฟแนนซ์....
ทั้ง 2 กลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่เป็นระบบปั๊มเงินให้กับเศรษฐี สร้างรายได้ไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย โดยที่เขาไม่ต้องออกไปทำงานอะไรเลย หรือที่เขาเรียกว่า Passive Income” ที่แปลว่า รายได้แบบอยู่เฉยๆก็มีรายได้ นั่นเอง ซึ่งรายละเอียดเชิงลึก หรือเคล็ดลับอื่นๆจะค่อยๆเปิดเผยให้ทุกท่านได้เรียนรู้ในโอกาสต่อๆไปอย่างแน่นอน(มีมากกว่า 2 กลุ่มที่ยกตัวอย่างมาแถมยังใช้เงินทุนไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ..)
 5) คนจน เลือก ออกไปขายของ เศรษฐี เลือกที่จะดึงดูดให้คนเข้ามาหาซื้อ สินค้า/บริการ ด้วยการตัดสินใจของเขาเอง
อธิบายได้ว่า : คน จน เลือกที่จะทำธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายออกไปหาลูกค้า เหมือนกันกับพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ซึ่งต้องตะเวนไปเรื่อยๆ เจอใครก็นำเสนอสินค้าไปขายให้ ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง โดนปฏิเสธมากกว่าการตอบรับ ต้องเสียทั้งเวลา แรงงาน และเงินทุนมหาศาล แต่ได้ผลลัพธ์นิดเดียว เหมือนคำโบราณที่ว่า “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ฯลฯ...
ซึ่งแตกต่างจากหลักการทำงานของเศรษฐี ที่สร้างระบบดึงดูดลูกค้าให้วิ่งเข้ามาหา มาถามซื้อ และตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยตัวของเขาเองโดยไม่ได้มีการบังคับหรือจูงใจใดๆ ทั้งสิ้น...
ทักษะที่เศรษฐีเขาใช้เรียกว่า “ทักษะการตลาดแบบดึงดูด”(Attraction Marketing Skill) ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าทุกท่านสนใจรายละเอียดเชิงลึก ที่นี่เราก็มีให้เรียนรู้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เป็นทักษะพื้นฐาน ที่ทุกท่านจำเป็นต้องรู้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนซะก่อน
มีวิธีการใดบ้าง ที่จะช่วยให้ คนจน ย้ายไปอยู่ ฝั่งของ เศรษฐีได้ ?
          วิธีการที่จะช่วยให้ คนจน ย้ายไปอยู่ ฝั่งของเศรษฐีได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นไม่มี! นอกจากจะเป็นการตัดสินใจของพวกเขาเอง...
การตัดสินใจของพวกเขา ก็คือ “การเลือกที่จะอยู่ฝั่งของเศรษฐี” นั่นเอง มีวิธีการเดียวนี้เท่านั้น วิธีอื่นไม่มี! เพราะความยากจน หรือ ความมั่งคั่งร่ำรวย เกิดจาก 2 สิ่งเท่านั้น นั่นก็คือ “รู้ กับ ไม่รู้ วิธีการรวยเท่านั้น” เพราะ ความจน กับความร่ำรวย มันเป็นเรื่องของทักษะ ที่สามารถฝึกฝนกันได้
ทักษะการเป็นเศรษฐี มีลักษณะเหมือนกันกับ ทักษะอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ทักษะทางด้านกีฬา เช่น การเตะฟุตบอล , การเตะตะกร้อ , การเล่นเทนนิส , การตีกอล์ฟ ฯลฯ             - ทักษะทางด้านดนตรี เช่น การเล่นกีตาร์ , การเล่นเปียโน , การเล่นไวโอลีน ฯลฯ
ทักษะเหล่านี้ ล้วนเกิดจากการฝึกฝนบ่อยๆ ฝึกฝนทุกวันจนชำนาญ จนเชี่ยวชาญ.... ซึ่งเหมือนกับ ทักษะการเป็นเศรษฐี ท่านต้องฝึกฝนบ่อยๆ ฝึกฝนทุกวันแล้วท่านจะชำนาญ หรือเชี่ยวชาญในการเป็นเศรษฐีขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกๆทักษะที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ล้วนเกิดจากการเตรียมพร้อมทั้งสิ้น ก่อนที่ท่านจะมีทักษะการเป็นเศรษฐี ท่านก็ต้องรู้ว่าท่านจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องใดบ้าง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก คือ
- เตรียมพร้อมเรื่อง “เงิน”  ท่านต้องลงทุนเงิน เพื่อ...
          - ซื้อสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะผู้นำหรือทักษะการเป็นเศรษฐี เช่น ซื้อ หนังสือ , CD , VDO , คอร์สอบรม ฯลฯ
- ซื้อเครื่องมือที่จะใช้ในการปั๊มเงินล้าน
- สร้างระบบปั๊มเงินในครั้งแรกครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย

- เตรียมพร้อมเรื่อง “เวลา”  ถึง แม้เงินท่านยังไม่พร้อม 100% แต่ท่านมีเวลา 100%(ไม่มีใครมาแย่งเวลาท่านไปได้ นอกจากท่านจะยอมขายให้คนอื่นไป) ดังนั้น ท่านต้องใช้สิ่งที่มีค่ากว่าเงิน นั่นก็คือ “เวลา” ท่านต้องลงทุนเวลา เพื่อ...
          - เรียนรู้สุดยอด ทักษะการสร้างสินค้า/บริการขั้นเทพ
- เรียนรู้สุดยอด ทักษะการตลาดขั้นเทพ

          - เรียนรู้สุดยอด ทักษะการปิดการขายขั้นเทพ
ซึ่ง ทั้ง 3 ทักษะนี้ เป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการเป็นเศรษฐีเป็นอย่างยิ่ง มันจะนำมาซึ่งเงินหลายๆล้าน บ้านหลังสวยๆ รถยนต์คันหรูๆ..ฯลฯ ถ้าขาด 3 ทักษะนี้ก็จบข่าว ไม่มีโอกาสเป็นเศรษฐีได้หรอก ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติไหน
- เตรียมพร้อมเรื่อง “แรงงาน” ถึงแม้ท่านจะมีเงินและมีเวลาแล้ว แต่ถ้าท่านไม่ลงมือทำตาม ก็จะไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น อันดับสุดท้าย ท่านต้องลงทุนแรงงาน เพื่อทำตามระบบทั้งหมดที่ได้ออกแบบไว้
Workshops ประจำ บทเรียนวันที่ 2 : 
            1)เขียนบรรยายสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ ณ ตอนนี้ ว่าเป็นสาเหตุของความยากจนหรือไม่อย่างไร?
            2)เขียน/วาดภาพ รายได้แบบอยู่เฉยๆ(Passive Income)ที่ท่านคิดว่าสามารถทำได้ทันที?
            3)เขียน/วาดภาพ สิ่งที่ท่านต้องเตรียมในการเป็นเศรษฐีที่สามารถตรวจสอบ/วัดผลได้ทันที?

คำเตือน! : ถ้าท่านไม่ทำตาม Workshops นี้ ก็อย่าถามหาว่า “จะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร???????”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น