ผู้สนับสนุนความรวย

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 5 : กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 2

วันที่ 5 : กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 2 :
ท่านต้อง “เลือก”
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับวันที่ 5 นี้ ท่านจะได้พบกับบทเรียน ซึ่งมีชื่อว่า “กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 2 : ท่านต้อง เลือก”
สิ่งที่ท่านจะได้เรียนรู้ ในบทเรียนนี้ คือ
      • ทำอย่างไร เศรษฐี ถึงได้กลายเป็นเศรษฐีได้ ?
      • วิธีการ เลือก/ตัดสินใจ แบบเศรษฐี มีลักษณะเป็นอย่างไร ?
      • คนจน จะเลือก/ตัดสินใจ แบบเศรษฐี ได้อย่างไร ?
      • ฝั่งของ คนจน กับ ฝั่งของเศรษฐี มีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?

ทำอย่างไร เศรษฐี ถึงได้กลายเป็นเศรษฐีได้ ?        
นี่คือคำถามที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นเศรษฐี เพราะท่านได้เรียนรู้ไปแล้วว่า “กฏของเศรษฐี ข้อที่ 1 คือ เศรษฐี เชื่อ ว่า พวกเขาสามารถเป็นเศรษฐีได้” แต่ที่ผมอยากจะบอก ณ ตอนนี้ คือ “แค่เชื่อ ว่าเป็นเศรษฐีได้ ยังไม่เพียงพอ” มันยังต้องมีขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ความเชื่อนั้น เป็นความจริงขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ “การลงมือทำอะไรบางอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นเศรษฐี”
ถูกต้องแล้วครับ เพื่อการเป็นเศรษฐี จำเป็นต้องมี “การลงมือทำตามความเชื่อนั้นเสมอ” ไม่งั้น กระบวนการเป็นเศรษฐีมันก็ไม่เกิดขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น
- ท่านเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ท่านสามารถปั่นรถจักรยานได้ แต่ไม่เคยจับหรือแตะต้องรถจักรยานเลยแม้แต่ครั้งเดียว à มีค่าเท่ากับ ท่านยังปั่นจักรยานไม่ได้
- ท่านเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ท่านสามารถซื้อรถยนต์คันที่หรูที่สุดได้ แต่ไม่เคยยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรไปหาพนักงานขาย หรือไม่เคยไปถอนเงินไว้เตรียมจ่ายเพื่อซื้อรถ à มีค่าเท่ากับ ท่านยังไม่มีรถยนต์คันหรูๆ อยู่ดี ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน?
ผมสามารถยกตัวอย่างได้อีกมากมาย แต่สุดท้ายแล้วสามารถอธิบายสั้นๆได้ว่า “ความเชื่อ ที่ปราศจากการลงมือทำ เป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งเท่านั้นเอง” เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า
“เศรษฐี ทำไม ถึงกลายเป็นเศรษฐีได้?” คำตอบก็คือ “การลงมือทำตามความเชื่อ” นั่นเอง เศรษฐีไม่ได้นั่งฝันนอนฝันลมๆแล้ง หลังจากที่พวกเขาเชื่อ เขาก็รีบตัดสินใจลงมือทำทันที นั่นเอง

วิธีการเลือก/ตัดสินใจแบบเศรษฐี มีลักษณะเป็นอย่างไร ?
หลังจากที่ทุกท่านได้เรียนรู้ไปแล้วว่า หลังจากที่เศรษฐี เชื่อว่า พวกเขาสามารถกลายเป็นเศรษฐีได้ เขาก็รีบลงมือทำตามความเชื่อนั้น ทันที! แต่กระบวนการลงมือทำของเศรษฐีนั้น เขาไม่ได้ลงมือทำไปแบบไม่ได้คิด/วิเคราะห์/สังเคราะห์อะไรเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ล้มเหลวตั้งแต่การเริ่มต้นแล้ว
วิธีการเลือกหรือตัดสินใจทำอะไรซักอย่างของเศรษฐี จะผ่านกระบวนการที่สำคัญที่สุดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่ทำไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งขั้นตอนในการเลือกหรือตัดสินใจในการลงมือทำเป็นดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 : ข้อมูลที่จำเป็นต่อการลงมือทำ มีเพียงพอหรือไม่?  อธิบายได้ว่า เศรษฐีต้องมีข้อมูลในการลงมือทำที่เพียงพอ แต่ไม่ใช่สมบูรณ์แบบ 100% แค่รู้ว่า ต้องเตรียมอะไรบ้าง มีองค์ประกอบอะไรที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว ฯลฯ
ขั้นตอนที่ 2 : ออกแบบระบบแห่งความสำเร็จขึ้นมา เนื่องจากเศรษฐี เป็นนักจินตนาการขั้นเทพ จึงทำให้ทักษะการออกแบบสิ่งต่าง เป็นเรื่องปกติของเศรษฐีอยู่แล้ว แต่ประเด็นหลักก็คือ เศรษฐีเลือกที่จะมีรายได้แบบ Passive Income (อยู่เฉยๆก็มีรายได้ เพราะสร้างระบบขึ้นมาทำงานแทน) เขาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างระบบขึ้นมา ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงระบบ(System thinking) คือ
          อธิบายเพิ่มเติม……
Input คือ ส่วนที่จะบอกว่า อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดผลผลิต/ผลลัพธ์?
Process คือ ส่วนที่จะบอก กระบวนการลงมือทำ ว่าต้องทำ อะไร? ยังไง?
Output คือ ส่วนที่บ่งบอก ผลผลิต จากการลงมือทำ ว่าได้อะไร?
Outcome คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มีประโยชน์และทรงคุณค่า แค่ไหน? อย่างไร?
ยกตัวอย่างง่ายๆ  ถ้าเศรษฐีต้องการรายได้เดือนละ 1,000,000 บาท เศรษฐีจะประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงระบบ ดังนี้
          Input คือ สิ่งที่เศรษฐีจะนำไปแลกเงินล้าน(ออกแบบธุรกิจที่สร้างสรรค์) เช่น
- การขายสินค้า/บริการ
- การเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย/แฟรนไชส์
- การนำเงินไปลงทุน ในตลาดหุ้น ฯลฯ
- สังหาริมทรัพย์/อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า/ให้ใช้สิทธิ์
- Web / Blog
Process คือ กระบวนการลงมือทำของเศรษฐี ว่าต้องทำ อะไร? ยังไง?(เริ่มสร้างธุรกิจ)
- กระบวนการผลิต/จัดจำหน่าย สินค้า/บริการ
- การขยายเครือข่าย/แฟรนไชส์
- การซื้อขายหุ้น/กองทุนรวม หรือ การเทรดหุ้นในแต่ละวัน
- การสร้างสังหาริมทรัพย์/อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า/ให้ใช้สิทธิ์
- การสร้าง Web / Blog ขึ้นมาเพื่อสร้างรายได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Output คือ ผลผลิต จากการลงมือทำ ว่าได้อะไร?(ได้ธุรกิจที่สร้างรายได้เฉลี่ยวันละ 33,334บาท)
- ได้สินค้า/บริการ สำหรับนำไปทำการตลาดหรือนำไปจัดจำหน่าย
- การมีเครือข่าย/แฟรนไชส์เพิ่มขึ้นทุกๆวัน
- การมีใบหุ้น/ใบที่แสดงกรรมสิทธิ์ในหุ้น/เอกสารที่สำคัญ
- การมีสังหาริมทรัพย์/อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า/ให้ใช้สิทธิ์
- การมี Web / Blog ตามปริมาณที่ต้องการเพื่อสร้างรายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
Outcome คือ ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้น มีประโยชน์และทรงคุณค่า แค่ไหน? อย่างไร?(รายได้เฉลี่ยวันละ 33,334 บาท = เดือนละ 1,000,000 บาท)
- รายได้จากการ ผลิต/จัดจำหน่าย สินค้า/บริการ
- รายได้จากการขยายเครือข่าย/แฟรนไชส์(รายได้ซื้อซ้ำ)
- ได้รับปันผลจากหุ้น/กองทุนรวม หรือ กำไรส่วนต่างจากการเทรดหุ้นในแต่ละวัน
- รายได้จากสังหาริมทรัพย์/อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า/ให้ใช้สิทธิ์
- รายได้จาก Web / Blog ตลอด 24 ชั่วโมง
จากกระบวนการเชิงระบบอย่างนี้เอง ที่ทำให้เศรษฐี เลือก/ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อสร้างรายได้(เดือนละ 1,000,000 บาทเป็นอย่างต่ำ)ให้กับพวกเขา
          ขั้นตอนที่ 3 : มอบคุณค่าหรือสร้างประโยชน์ให้กับ ผู้คน/สังคม/ประเทศชาติ/โลก.. นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเลือก/ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างของเศรษฐี เพราะแท้จริงแล้ว “เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของเศรษฐีผู้มีความสุข อยู่ที่การให้ ไม่ใช่ การรับ” เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ต้องมี “โมเดลการให้” ร่วมอยู่ด้วยเสมอ
ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ เป็นข้อมูลที่สำคัญที่เศรษฐีจะเลือกหรือไม่เลือก จะตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ ทำอะไรซักอย่างสำหรับพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่า “ไม่เคยมีใครนำมันมาเปิดเผยที่ไหน นอกจากผม”
คนจน จะเลือก/ตัดสินใจ แบบเศรษฐี ได้อย่างไร ?
นี่เป็นคำถามที่ คนจน/ชนชั้นกลาง ควรจะถามตัวเองตลอดเวลา แทนที่จะเอาเวลาที่มีค่าไป อิจฉา ริษยาเศรษฐี เอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มหาศาลในระยะยาว เช่น นั่งเล่น นอนเล่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน เล่นเกม เสพย์ยาเสพติด  ฯลฯ
การที่จะช่วยให้ คนจน/ชนชั้นกลางเลือกหรือตัดสินใจแบบเศรษฐี ได้นั้น มันไม่มีทฤษฎีไหนที่สามารถทำได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับ “ตัวของคนจน/ชนชั้นกลาง” นั่นเองที่จะต้องเลือกด้วยตัวของเขาเอง
แต่แทนที่ผมจะอธิบายว่า คนจน/ชนชั้นกลาง จะเลือก/ตัดสินใจ แบบเศรษฐี ได้อย่างไร?นั้น ผมว่าไม่ใช่แก่นของการแก้ปัญหา เพราะแก่นที่แท้จริงมันอยู่ที่ว่า “คนจน/ชนชั้นกลาง เลือกฝั่งไหน ระหว่าง ฝั่งของคนจน กับ ฝั่งของคนรวย?”ต่างหาก
ถ้าคนจน/ชนชั้นกลาง เลือกที่จะ อยู่กับวังวนชีวิตแบบเดิม ตื่นขึ้นมา à ไปทำงานเป็นลูกจ้าง à กลับบ้านทำกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดเงินล้าน เช่น ดูทีวี เล่นเกม เล่นการพนัน ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ……ฯลฯ.. à เข้านอน … à (ตื่น à ทำงาน à ทำกิจกรรมคนจน à นอน.. à …)
ท่านเห็นวงจรชีวิตในแต่ละวันของ คนจน/ชนชั้นกลางหรือยังครับ? ถ้าท่านยังอยู่ในวังวนแบบนี้ อีกเมื่อไหร่ท่านจะเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
หลายคนบอกว่า “ไม่มีทางเลือก” ถ้าคำตอบของท่านเองก็ตอบว่า “ไม่มีทางเลือก” ผมขอบอกกับท่าน ณ ตอนนี้เลยว่า “ชีวิต มีทางเลือกเสมอ” ความล้มเหลวไม่มีอยู่จริงมีแต่การทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งจะหัวเด็ดตีนขาดยังไง ผมก็ยังยืนยันประโยคข้างล่างเหล่านี้เสมอ
          – ความยากจนไม่ใช่กรรมพันธุ์ พ่อแม่ปู่ย่าตายายยากจน ไม่จำเป็นที่เราต้องจนไปด้วย
- โลกเปลี่ยนไป รูปแบบการสร้างรายได้ก็เปลี่ยนไป เด็ก
8 – 9 ขวบ ก็สามารถมีเงินล้านได้
- ไม่มีเงินทุน(หลักหมื่น,แสน,ล้าน…) ก็สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
- ไม่มีเวลา (ทำงานรับจ้าง,ยุ่ง วุ่นวาย..) ก็สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
- ไม่มีการศึกษา (ไม่ได้เรียน,จบป.4, ป.6 , ไม่มีใบปริญญา) ก็สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
- อายุ เด็ก/แก่ ก็สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
- สุขภาพไม่ดี ป่วย พิการ ก็สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้

ทั้งหมดนี้ มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือ เปิดใจเรียนรู้“วิธีการที่ถูกต้องในการหาเงิน”เท่านั้น!
ผมอยากจะบอกพวกท่านเหลือเกินและจะเน้นย้ำอย่างนี้ ทุกครั้ง ว่า “วิธีหาเงินล้าน มันง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก” เพียงแต่ท่านต้องรู้วิธีการที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
คนส่วนใหญ่ 99.99% ล้มเหลว เพราะ “ไม่เคยเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองเลย” ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เหมือนกับจอกแหนที่ลอยล่องไปตามสายน้ำที่ไหลไปๆๆๆๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแก่นสารอะไร
ดังนั้น การที่ คนจน/ชนชั้นกลาง จะเลือก/ตัดสินใจแบบเศรษฐีได้นั้น มันขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง ว่า จะเลือกฝั่งคนจน หรือ ฝั่งคนรวย ถ้าเลือกฝั่งคนจน ก็จงเลือกทำสิ่งเดิมๆที่เคยทำ นั่นคือ
ตื่นขึ้นมา à ไปทำงานเป็นลูกจ้าง à กลับบ้านทำกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดเงินล้าน เช่น ดูทีวี เล่นเกม เล่นการพนัน ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ……ฯลฯ.. à เข้านอน … à (ตื่น à ทำงาน à ทำกิจกรรมคนจน à นอน.. à …)
แต่ถ้า คนจน/ชนชั้นกลาง เลือกที่จะอยู่ ฝั่งของเศรษฐี ก็ต้องทำตามกระบวนการของเศรษฐี ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ขั้นตอน
                    ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมข้อมูลที่จำเป็นต่อการลงมือทำ
                    ขั้นตอนที่ 2 : ออกแบบระบบแห่งความสำเร็จขึ้นมา
                    ขั้นตอนที่ 3 : มอบคุณค่าหรือสร้างประโยชน์ให้กับ ผู้คน/สังคม/ประเทศชาติ/โลก
เป็นที่แน่นอนว่า ข้อมูลเพียงแค่นี้ คงไม่เพียงพอสำหรับใครหลายๆคน จำเป็นอย่างยิ่งที่ ท่านจะต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งถ้าจะให้ผมบรรยายทั้งหมด เขียนหนังสืออีก 10 เล่มก็ไม่พอ
แต่ก็อย่างที่บอกว่า ผมเองก็มีทางลัดสำหรับทุกท่านที่ไม่ต้องการลองผิดลองถูก ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือ หลักสูตร : วิชาหาเงินล้าน(ภายใน 3 วัน) ซึ่ง รายละเอียดจะอยู่ในส่วนท้ายของบทเรียน 7 วันฉันจะเป็นเศรษฐีที่ท่านกำลังเรียนรู้อยู่ ณ ตอนนี้ (ขอย้ำนะครับว่า ผมไม่ได้บังคับให้ท่านต้องเรียนรู้หลักสูตร : วิชาหาเงินล้าน(ภายใน 3 วัน)เพียงแต่ชี้ให้ท่านเห็นทางลัดของการเป็นเศรษฐีเท่านั้น)
ฝั่งของ คนจน กับ ฝั่งของเศรษฐี มีลักษณะเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร ?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ผมพูดมาหลายวันแล้วว่า บนโลกนี้ แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ “กลุ่มคนจน/ชนชั้นกลาง และ กลุ่มคนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี” แล้วคนทั้งสองกลุ่มนี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรล่ะ????????
ผมเองก็ได้เกริ่นนำมาหลายครั้งถึงความแตกต่างของทั้งสองกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากวันนี้ เป็นการพูดถึง กฎที่ 2 ของการเป็นเศรษฐี : ท่านต้อง “เลือก” ดังนั้นผมจะพาท่านไปทำความเข้าถึงความเหมือนและความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เพราะ ณ ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่ท่านจำเป็นจะต้องเลือก “ข้าง” อย่างชัดเจน โดยแบ่งประเด็นต่างๆออกมาเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ด้านที่ 1 รูปแบบการใช้ชีวิต :
          บ้าน :
- บ้านคนจน/ชนชั้นกลาง : เป็นบ้านเพื่ออยู่อาศัย มีระบบสาธารณูปโภคในระดับ ต่ำ – ปานกลาง  มีเครื่องอำนวยความสะดวกในระดับ ต่ำ – ปานกลาง บางครั้งคนจน/ชนชั้นกลางก็จำเป็นต้องอยู่บ้านเช่า/อพาร์ทเมนท์ระดับ ต่ำ – ปานกลาง เนื่องจากใกล้กับที่ทำงาน
                   - บ้านคนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี : เป็น บ้านเพื่อเติมเต็มรูปแบบการใช้ชีวิต มีสไตล์ในรูปแบบเฉพาะตน มีความหรูหราโอ่อ่า เป็นสถานที่สำหรับผ่อนคลาย พักผ่อนได้อย่างเต็ม 100% มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน มีเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้านอย่างครบครันสะดวกสบาย มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีสนามหญ้ากว้างๆเพื่อการพักผ่อนในแต่ละวันได้อย่างสงบ ผ่อนคลาย บางครั้งถ้าจำเป็นต้องเดินทางก็พักที่พักระดับหรู มีความส่วนตัว สะอาด ปลอดภัยไร้กังวล





รถ :
                   - รถ ของคนจน/ชนชั้นกลาง : เป็น รถที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง ถ้าเป็นรถยนต์ก็จะเป็นรุ่น ธรรมดา – ระดับปานกลาง ความปลอดภัยอยู่ในระดับ ต่ำ – ปานกลาง ความหรูหราอยู่ในระดับ ต่ำ – ปานกลาง ถ้ากลุ่มคนจนก็จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือถ้าเป็นรถยนต์ก็จะเป็นรถยนต์มือสอง ถ้ากลุ่มชนชั้นกลางที่มีเงินเดือนสูงก็จะมีความสามารถผ่อนรถยนต์ใหม่ระดับ ปานกลางได้




- รถ ของคนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี : เป็นรถที่แสดงออกซึ่ง ความหรูหรา โอ่อ่า สะดวกสบาย มีความปลอดภัยเป็นเลิศ มีความเป็นสไตล์ที่ชัดเจน ให้ความรู้สึกถึงความผ่อนคลายเวลาขับขี่ วิ่งอยู่บนถนนได้อย่างมั่นใจเหมือนนั่งขับอยู่ในบริเวณบ้านของตัวเอง เวลาจะเดินทางก็จะมีระบบรักษาความปลอดภัยคอยอำนวยความสะดวกในขณะเดินทาง เพื่อให้ทันกับภารกิจ




การท่องเที่ยว :
                    - การท่องเที่ยวของคนจน/ชนชั้นกลาง : เป็น การท่องเที่ยวเพื่อการผ่อนคลายจากความเครียดในแต่ละวัน เช่น หลังเลิกงานก็จะชวนกันไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อน พูดคุยเรื่องไร้สาระทั่วไป บางครั้งก็ชวนกันไปเล่นการพนัน(ซึ่งคิดว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ถูก วิธี) วันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะเดินทางไปเที่ยวได้ไกลหน่อย เช่น เที่ยวภูเขา ทะเล น้ำตก(ที่อยู่ใกล้บ้าน หรือสามารถไป-กลับได้)



- การท่องเที่ยวของคนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี : เป็น การท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไปแบบผ่อนคลาย สบายๆ ไม่มีความกังวลใดๆทั้งสิ้น อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกก็ไปได้ การเลือกที่พักก็เลือกที่ดีที่สุดมีความเป็นส่วนตัว มีความปลอดภัยสูง การสั่งอาหารก็ดูที่เมนูที่อยากทานโดยไม่สนใจราคา สังสรรค์พักผ่อนได้อย่างเต็ม100%





ด้านที่ 2 รูปแบบการทำงาน/การหารายได้ :
          อาชีพ/การทำงาน/การหารายได้ของคนจน : เป็นรูปแบบการทำงานแบบ Active Income (ทำงานแลกเงิน) หมายความว่า
“คนจน/ชนชั้นกลาง ต้องออกไปทำงาน แลก เงินทุกวัน หยุดทำ = หยุดมีรายได้” เช่น
          - กลุ่มลูกจ้าง : ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ , พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ ลูกจ้างเอกชน … กลุ่มนี้ต้องใช้ทั้งเวลา/แรงงาน/ความรู้ความสามารถ ประมาณวันละ 8 – 10 ชั่วโมงในการทำงานเพื่อแลกเงิน บางกลุ่มก็จะหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ บางกลุ่มก็ไม่มีวันหยุดเลย เมื่อไหร่ที่ขาดงานบ่อย/ขาดงานนานๆ มีสิทธิ์ที่จะโดนไล่ออกตลอดเวลา ที่เขามองว่ามั่นคง แต่จริงๆแล้วพวกเขามีความเสี่ยงตลอดเวลา
- กลุ่มธุรกิจส่วนตัว : เป็นกลุ่มที่อาจจะผันตัวเองจากการ เป็นลูกจ้าง มาเป็นนายตัวเองด้วยการเปิดร้าน/ทำธุรกิจเล็กๆ ที่ใช้เงินทุนหลักหมื่น – หลักแสน มีพนักงาน/ลูกจ้างที่คอยช่วยงานไม่เยอะ เนื่องจากมันเป็นธุรกิจขนาดเล็กนั่นเอง
กลุ่มนี้จะสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่น ร้านค้า , แม่ค้าตามตลาดสด , ร้านซ่อมรถ , ร้านกาแฟ , ร้านอาหารตามสั่ง , ร้านตัดผม , ร้านเสริมสวย , ร้านขายยา , คลินิคหมอ…..ฯลฯ ถึงแม้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ จะมีอิสระจากเจ้านาย มาเป็นนายของตัวเอง แต่พวกเขายังไม่มีอิสระอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเอาตัวเองอยู่ใน “ระบบในการสร้างรายได้” เช่น
- ร้านซ่อมรถ : ซ่อมเก่ง ซ่อมดี มีความสามารถ แต่ไม่สามารถซ่อมได้ทีละเป็นร้อยๆคัน
- ร้านเสริมสวย : เสริมสวยเก่ง เสริมสวยดี มีลูกค้ารอคิว แต่ไม่สามารถรับลูกค้าได้เป็นร้อย
- คลินิคหมอ : รักษาดี รักษาเก่ง จัดยาได้ถูกโรค แต่หาลูกจ้างมารักษาแทนไม่ได้ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อจำกัดของกลุ่มธุรกิจส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก ถ้าพวกเขาหยุดการทำงาน/ปิดร้าน พวกเขาก็จะไม่มีรายได้ทันที เพราะตัวเขาเองอยู่ในระบบในการสร้างรายได้ ดังภาพ







จากภาพ ท่านจะเห็นว่ากลุ่มลูกจ้าง และกลุ่มธุรกิจส่วนตัว อยู่ในฝั่งซ้ายมือของ หนังสือเงิน 4 ด้าน ที่เป็นหนังสือของคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่มียอดขายหลายล้านเล่มและแปลมาแล้วหลายภาษา ได้กล่าวเอาไว้ว่า กลุ่ม E และ กลุ่ม S คือ กลุ่ม Active Income ส่วนฝั่งขวามือ คือ กลุ่ม Passive Income ซึ่งเป็นกลุ่มที่ “อยู่เฉยๆแล้วมีรายได้” รายละเอียดจะอยู่ในประเด็นถัดไป
          อาชีพ/การทำงาน/การหารายได้ของคนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี : เป็นรูปแบบการทำงานแบบ Passive Income (เงิน/ระบบทำงานแทน) หมายความว่า
“คนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี สร้างระบบขึ้นมาทำงานหาเงินแทน หยุดทำ = รายได้ไม่หยุด”
- กลุ่มเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ : เป็นกลุ่มที่ใช้เงิน ซื้อเวลา แรงงาน ความรู้ความสามารถของลูกจ้างมาทำงานแทนเขา หรือบางครั้งกลุ่มนี้ก็สร้างระบบขึ้นมาทำงานแทนพวกเขา ซึ่งเขาเองเป็นเจ้าของระบบไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ จึงทำให้พวกเขามีเวลาว่างมากขึ้น มีรายได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ เช่น
กลุ่มเจ้าของโรงงาน : ใช้เงินซื้อเวลา+แรงงาน+ความรู้ความ สามารถของลูกจ้างทำงานให้ เช่น ถ้าคนงาน 1 คน สามารถเย็บเสื้อได้วันละ 10 ตัว ถ้าเจ้าของโรงงานมีพนักงาน 1,000 คน แสดงว่าเจ้าของโรงงานสามารถผลิตเสื้อได้วันละ 10,000 ตัว ถ้ากำไรของเสื้อ 1 ตัว = 200 บาท นั่นแสดงว่า 1 วัน เจ้าของโรงงานจะมีรายได้ = 10,000 x 200 = 2,000,000 บาท สมมุติค่าจ้างของพนักงานคนละ 300 บาทต่อวัน(ตามค่าแรงขั้นต่ำ) นั่นแสดงว่าเจ้าของโรงงานจ่ายค่าจ้างวันละ 300 x 1,000 = 300,000 บาท ดังนั้นรายได้ของเจ้าของโรงงาน = 2,000,000 – 300,000 = 1,700,000 บาทต่อวัน ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านเริ่มมองเห็นภาพหรือยังว่า เศรษฐีเขาจะมีเวลาว่างมากขึ้น มีรายได้มากขึ้นเป็นทวีคูณหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือ “เขาไม่ต้องออกไปทำงานเลยด้วยซ้ำ แต่มีรายได้วันละ 1,700,000 บาท(ตามตัวอย่าง)”

กลุ่มเจ้าของโรงแรม/รีสอร์ท : ใช้เงินสร้างสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ขึ้นมาในรูปแบบ” “ค่าเช่า/ค่าบริการ” เช่น ถ้าโรงแรมสุดหรูหนึ่งแห่ง มีห้องทั้งหมด 1,000 ห้อง ถ้าค่าเช่า/ค่าบริการห้องละ 3,000 บาทต่อคืน แสดงว่ารายได้ของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้ = 1,000  X 3,000 = 3,000,000 บาท ต่อคืน ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านคิดว่า “เศรษฐีต้องออกไปทำงานแลกเงินหรือไม่?” คำตอบคือ “ไม่” เพราะเขาสร้างระบบในการสร้างรายได้ให้เขาตลอด 24 ชั่วโมงขึ้นมานั่นเอง
กลุ่มนักธุรกิจเครือข่าย : เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใน กลุ่ม Passive Income ถ้าหากเขามีองค์กรใต้ทีมงานจำนวนมาก  เช่น ถ้าเขามีองค์กรใต้ทีมงานจำนวน 10,000 คน ถ้าแต่ละคนซื้อกินซื้อใช้สินค้า/บริการแล้วได้โบนัส/คอมมิชชั่นคนละ 200 บาท นั่นแสดงว่านักธุรกิจเครือข่าย จะมีรายได้ = 10,000 X 200 = 2,000,000 บาท ทันที ซึ่งจุดเด่นของนักธุรกิจเครือข่ายคือ “ใช้เงินลงทุนต่ำมากๆถ้าเทียบกับกลุ่มเจ้าของโรงงานและกลุ่มเจ้าของโรงแรม/รีสอร์ท” เพราะค่าสมัครในการเข้าร่วมเป็นนักธุรกิจเครือข่ายนั้นต่ำมาก ไม่ถึง 1,000 บาทด้วยซ้ำ แต่มีโอกาสรับรายได้เป็นล้าน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าท่านบริหารองค์กรอย่างถูกวิธี ท่านจะสามารถมีรายได้ เดือนละ 1,000,000 – 5,000,000 บาทได้อย่างสบาย(ซึ่งวิธีการที่ถูกต้องในการเป็นนักธุรกิจ เครือข่ายที่ไม่ต้อง ตาม ง้อ ขอ ตื้อ แต่สามารถมีลูกทีมใต้องค์กรเดือนละ 10 – 100 คน และที่สำคัญที่สุด คือ พวกเขามาตามง้อ ขอ ตื้อ ให้ผมรับเข้าเป็นลูกทีมด้วยการตัดสินใจของเขาเอง จะถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร : วิชาหาเงินล้าน(ภายใน3วัน)ซึ่งท่านต้องไม่พลาดที่จะลงทะเบียนเรียนรู้ เพราะมันจะเป็นทางลัดในการเป็นเศรษฐีโดยใช้เงินทุนน้อยที่สุด+ใช้เวลาน้อย ที่สุด)
          - กลุ่มนักลงทุน : เป็นกลุ่มที่ “อยู่เฉยๆแล้วมีรายได้เข้ามาอย่างแท้จริง” เพราะพวกเขาใช้แค่ “เงิน” อย่างเดียวในการซื้อระบบในการปั๊มเงินให้กับพวกเขา เช่น
ถ้าเขาซื้อหุ้น/หน่วยลงทุนที่สามารถปันผลได้ 25% ต่อปี(ซึ่งถือว่าต่ำมาก เพราะบางคนสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้สูงถึง 300% ต่อเดือน) สมมุติซื้อไป 100,000,000 บาท ปันผล 25% เท่ากับว่า นักลงทุนมีรายได้ = 100,000,000 X 25% = 25,000,000 บาทต่อปี เฉลี่ยเดือนละ 2,000,000 บาท โดยที่พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้เงินทำงานแลกเงินให้เขาเพียงอย่างเดียว
เป็นไงกันบ้างครับ? มาถึงตอนนี้ ท่านตัดสินใจหรือยังว่าท่านจะเลือกอยู่ฝั่งไหน ระหว่าง ฝั่งของคนจน กับ ฝั่งของคนรวย? ถ้าผมอธิบายมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังเลือกที่จะอยู่ฝั่งของคนจนเหมือนเดิม ก็โยน “หลักสูตร 7 วัน ฉันจะเป็นเศรษฐี” ที่ท่านกำลังเรียนรู้อยู่นี้ทิ้งไปซะ แล้วกลับไปอยู่กับวิถีชีวิตเดิมของท่าน
แต่ถ้าท่านตัดสินใจได้แล้วว่า “ท่านจะ เลือก อยู่ฝั่งของ คนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี” ก็จงทำตาม “รูปแบบ/วิธีการ ของเศรษฐีตั้งแต่ วินาทีนี้ทันที อย่าลังเลสงสัย”
Workshops ประจำ บทเรียนวันที่ 5 : 
            1)เขียนบรรยายออกมาให้เป็นภาพที่ชัดเจนว่า ท่านจะใช้วิธีการอะไร ในการเป็นเศรษฐีเงินล้าน ?
            2)เขียน/วาดภาพ ขั้นตอนในการเป็นเศรษฐี ในรูปแบบของท่านออกมาให้ชัดเจน ?
            3)เขียน/วาดภาพ บรรยายเกี่ยวกับ  บ้าน รถยนต์  สถานที่/รูปแบบการทำงาน การเดินทางท่องเที่ยวของท่านออกมาให้ชัดเจน ว่ามีรายละเอียดอย่างลึกซึ้งจนเข้าไปถึงระดับจิตวิญญาณของท่าน ?
            4)เขียน/วาดภาพ ผลกระทบจากการที่ท่าน   ไม่ยอมเลือกไปอยู่ฝั่งของเศรษฐี ว่ามันจะเจ็บปวด เร่าร้อน รุนแรงแค่ไหน บรรยายความน่าสะพรึงกลัวของมันออกมา เพื่อย้ำเตือนท่านตลอดเวลาว่า ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะย้ายจากฝั่งของคนจน ไปอยู่ ฝั่งของ คนรวย/เศรษฐี/มหาเศรษฐี ซักที! ?

คำเตือน! : ถ้าท่านไม่ทำตาม Workshops นี้ ก็อย่าถามหาว่า “จะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร???????”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น