ผู้สนับสนุนความรวย

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 4 : กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 1

วันที่ 4 : กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 1 :
ท่านต้อง “เชื่อ”
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับวันที่ 4 นี้ ท่านจะได้พบกับบทเรียน ซึ่งมีชื่อว่า “กฎของการเป็นเศรษฐี ข้อที่ 1 : ท่านต้อง เชื่อ ”
สิ่งที่ท่านจะได้เรียนรู้ ในบทเรียนนี้ คือ
      • ความเชื่อ แบบคนจน มีลักษณะเป็นอย่างไร ?
      • ความเชื่อ แบบเศรษฐี มีลักษณะเป็นอย่างไร ?
      • วิธีการ เปลี่ยน ความเชื่อแบบคนจน ไปสู่ความเชื่อแบบเศรษฐี ต้องทำอย่างไร ?
ความเชื่อ แบบคนจน มีลักษณะเป็นอย่างไร ?         
          1) คนจน เชื่อ แต่เรื่อง ความขาดแคลน : อธิบายได้ว่า คนจนเชื่อว่า “สิทธิ์ของการเป็นเศรษฐี เป็นของคนในตระกูลเศรษฐีเท่านั้น คนจนไม่มีสิทธิ์เป็นเศรษฐีได้” อย่างดีก็เป็นได้แค่คนรับใช้เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้านายได้หรอก!
- คนจน เหมาะกับ รถโดยสารประจำทาง , รถจักรยาน , มอเตอร์ไซค์ , รถยนต์มือสองเก่าๆ อย่าไปฝันหวานหารถยนต์คันหรูๆเลย มันเป็นรถของคนรวยเขา




                   - คนจน เหมาะกับ บ้านธรรมดา แค่กันแดดกันฝนก็ดีแล้ว อย่าฝันหาบ้านหลังใหญ่ๆเล๊ย...




                   - คนจน เหมาะกับ การท่องเที่ยวไปตามทุ่งนา ใกล้ๆบ้าน อย่าฝันไปหาสวรรค์วิมานที่อื่นเลย




                    ในมุมมองของคนจน ทั้งหมดนี้ ล้วนมีแต่ความขาดแคลน แห้งแล้ง อดอยากปากแห้ง มีไม่พอกัน มีสิทธิ์แค่นี้ ก็ได้แค่นี้ อย่าคิดอยากร่ำอยากรวย อยากมั่งอยากมีไปกว่านี้อีกเลย เพราะการมีเงิน การมีบ้านหลังใหญ่ๆ รถยนต์คันหรูๆ มันเป็นสิทธิ์ของเศรษฐีเขา คนจนอย่างเราไม่มีสิทธิ์!.......
          2) คนจน เชื่อ แต่เรื่อง ความเป็นไปไม่ได้ : อธิบายได้ว่า คนจนเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้ที่เกิดมายากจนแล้วจะกลายเป็นเศรษฐีได้” มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เพ้อฝันไปวันๆ
- คนจน เหมาะกับชีวิตลูกจ้างนั่นแหละ ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว อย่าคิดที่จะเป็นเศรษฐีให้ปวดหัว มันเป็นไปไม่ได้หรอก มีเงินเดือนพอกินพอใช้แต่ละเดือนก็ดีถมไปแล้ว มั่นคงที่สุดแล้ว
- คนจน เหมาะกับการค้าขายเล็กๆน้อยๆ ไม่ต้องคิดจะไปแข่งกับ บิ๊กซี โลตัส เซ็นทรัล...เขาหร๊อก.. ขายของชำ เปิดร้านโชว์ห่วยก็หรูสุดๆแล้ว อย่าไปทะเยอทะยานอยากรวยเลย
- คนจน เหมาะกับการทำไร่ ทำนา (ตามประสาควาย) นี่แหละดีแล้ว! มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ลูกชาวนา ตื่นมาจะกลายเป็นเศรษฐี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวก็หรูสุดๆแล้ว ไม่ต้องดิ้นเป็นเศรษฐีเสียให้ยาก ลูกชาวนา ก็คือชาวนาวันยังค่ำ... ไม่มีโอกาสร่ำรวยเงินทองได้หรอก
- คนจน เหมาะกับการหาเช้า กินค่ำ ไปวันๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย.. ตายไปก็เอาไปได้แค่เงินปากผี จะดิ้นรนกันไปทำไม จะอยากร่ำอยากรวยกันไปทำไม หากินรับจ้างไปวันๆ.. มีก็กิน ไม่มีก็ไปหา นก หนู ปู ปลาตามท้องไร่ท้องนามากินก็สิ้นเรื่อง เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเศรษฐีนอกจากถูกหวย!!!!!
          3) คนจน เชื่อ แต่เรื่อง โชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้ว : อธิบายได้ว่า คนจนเชื่อว่า “ถูกกำหนดโชคชะตาไว้แล้วว่าจะต้องยากจนไปจนตาย” ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติไหน? พ่อแม่ปู่ย่าตายายยากจน ลูก หลาน เหลน โหลน ออกมาก็ย่อม ยากจนอยู่อย่างนั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรอก!!! ยิ่งดิ้น ยิ่งเจ็บ ยิ่งดิ้น ยิ่งจน!! ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตัวเองได้หรอก จงปล่อยไปตามยถากรรมแบบนี้แหละดีแล้ว แค่พอมีพอกินก็พอแล้ว อย่าดิ้น!!! “โชคชะตาฟ้าลิขิต มิอาจเปลี่ยนชะตาฟ้าได้หร๊อก!!!!”
ทั้ง 3 ความเชื่อนี้เอง ที่เป็นสาเหตุทำให้คนทั่วโลก 99.99999% ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ ทุกคนที่เชื่อแบบนี้ล้วน...
                   - ฝังตัวเองเอาไว้กับความยากจน..
- อยู่อย่างสิ้นหวัง..
- อยู่อย่างอดอยากปากแห้ง..
- อยู่อย่างอิจฉาริษยา..
- อยู่อย่างมีปมด้อย..
- อยู่อย่างสิ้นไร้หนทางจะเดิน..
          สุดท้าย ก็ตายไปพร้อมกับความยากจน.... ทั้งๆที่ยังมีหนทางอื่นๆอีกมากมายที่ “คนจน” จะสามารถย้ายไปสู่ฝั่งของ “เศรษฐี” ย้ายไปอยู่ฝั่งของ “คนรวยอย่างมีความสุข” ได้ ดังภาพ




ภาพ : กระบวนการย้ายจากฝั่งของ “คนจน” ไปสู่ฝั่งของ “คนรวยอย่างมีความสุข”
          จากภาพ ได้บ่งบอกถึง สุดยอดเคล็ดลับง่ายๆที่ “คนจน” จะสามารถ ย้ายไปสู่ฝั่งของ “เศรษฐี” หรือ ย้ายไปอยู่ ฝั่งของ “คนรวยอย่างมีความสุข” ได้อย่างง่ายดาย นั่นคือ “การเรียนรู้และลงมือทำ”
การเรียนรู้ที่ว่านั้นคือ “การเรียนรู้สุดยอดเคล็ดลับ : วิชา รวยอย่างมีความสุข” นั่นเอง ซึ่งใน “หลักสูตร 7 วัน ฉันจะเป็นเศรษฐี” ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นเพียงแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น กระบวนการเชิงลึก ถูกบรรจุอยู่ใน หนังสือ(ดังภาพ)และอยู่ในหลักสูตรที่สำคัญที่หมู่มวลมนุษยชาติไม่เรียนไม่ ได้(ถ้าอยากรวย)ซึ่ง รายละเอียดของหลักสูตรเพิ่มเติมท่านจะค่อยๆได้เรียนรู้กันในวันต่อๆไป ตอนนี้ปูพื้นฐานให้ท่านไปก่อน.

ความเชื่อ แบบเศรษฐี มีลักษณะเป็นอย่างไร ?
          1) เศรษฐี เชื่อ แต่เรื่อง ความอุดมสมบูรณ์ : อธิบายได้ว่า เศรษฐีเชื่อว่า “สิทธิ์ของการเป็นเศรษฐี เป็นของทุกคน โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น”
          - เงินทองมีอยู่เต็มไปหมด หันไปทางไหนก็มองเห็นแต่เงิน สามารถเดินไปหยิบเอาโดยไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่ต้องไปคดผู้ใด
- โอกาสใหม่ๆในหาเงินมีอยู่เสมอ วันนี้ไม่พร้อมพรุ่งนี้ก็พร้อม พรุ่งนี้ไม่พร้อมวันต่อไปก็ต้องพร้อม
- วิธีการใหม่ๆในการหาเงินล้านมีอยู่มากมายหนทาง ไม่มีข้อจำกัดใดๆเลย
- สถานที่ใหม่ๆในการหาเงินล้านมีอยู่เต็มไปหมด อยู่ตามบ้าน ตามโรงเรียน ตามตลาด ตามสวนสาธารณะ ตามถนนหนทาง ฯลฯ ก็สามารถใช้เป็นที่หาเงินล้านได้
- ทีมงานใหม่ๆที่จะช่วยหาเงินล้านรอการค้นพบอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่พบพวกเขาเขาก็พร้อมที่จะร่วมเดินทางไปหยิบเอาเงินล้านด้วยกัน เสมอตลอดเส้นทาง
- ความรู้ใหม่ๆในการหาเงินล้านมีอยู่ทุกๆที่ การพบปะผู้คนในแต่ละวัน การอ่านหนังสือทุกๆเล่ม การดูทีวี การดูหนัง การฟังเพลง การเล่นเกม ล้วนแต่มีความรู้ในการหาเงินล้านสอดแทรกอยู่เสมอๆ..ฯลฯ....

ทั้ง หมดทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนอธิบายถึงความอุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องไปแก่งแย่งชิงดีหาเงินล้านจากใคร ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องเอาเปรียบ/คดโกงผู้ใดก็หาเงินล้านได้
          2) เศรษฐี เชื่อ แต่เรื่อง ความเป็นไปได้ : อธิบายได้ว่า เศรษฐีเชื่อว่า “ไม่มีสิ่งไหน ที่มนุษย์ทำไม่ได้” ข้อจำกัดหรือความเป็นไปไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด และสิ่งนั้นก็คือ “ข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ” เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์มีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ จะไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้”อยู่ในพจนานุกรมของพวกเขาอีกเลย
          - ไม่มีเงินทุน(หลักแสน – หลักล้าน) ก็เป็นเศรษฐีได้ à ถ้ารู้ “วิธีการที่ถูกต้อง”
- ไม่มีเวลา(ติดงานประจำ,ทำงานบ้าน,ยุ่งวุ่นวาย)ก็เป็นเศรษฐีได้
à ถ้ารู้ “วิธีการที่ถูกต้อง”
- ไม่มีการศึกษา(จบป.
4,ไม่มีปริญญา,อ่านไม่ออก)ก็เป็นเศรษฐีได้ à ถ้ารู้ “วิธีการที่ถูกต้อง”
- อายุเด็ก/แก่(ไม่พร้อม,ไม่มีประสบการณ์,แก่เกินไป)ก็เป็นเศรษฐีได้
à ถ้ารู้ “วิธีการที่ถูกต้อง”
- สุขภาพไม่ดี(ป่วย,พิการ,ร่างกายไม่พร้อม..)ก็เป็นเศรษฐีได้
à ถ้ารู้ “วิธีการที่ถูกต้อง”
          ทั้ง 5 อุปสรรคที่ยกมานี้ จะไม่สามารถมาขวางทางการเป็นเศรษฐีของผู้ใดได้เลย ถ้าหากว่าบุคคลนั้น “รู้วิธีการที่ถูกต้อง” ในการจัดการกับอุปสรรค์เหล่านั้น
          ดังนั้น เศรษฐีถึงได้เชื่อ 1,000,000% ว่า“ไม่มีสิ่งไหน ที่มนุษย์ทำไม่ได้”เพราะฉะนั้นรหัสลับที่สำคัญที่สุดในการเป็นเศรษฐีที่เอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้คือ “ข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ”
นั่นเอง
          - เครื่องบิน บินได้เหมือนนก ก็เพราะมันมี โครงสร้าง/องค์ประกอบที่ “ถูกต้องและเพียงพอ”
- รถยนต์ วิ่งบนถนนได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะมันมี โครงสร้าง/องค์ประกอบที่ “ถูกต้องและเพียงพอ”
- หลอดไฟ สามารถให้แสงสว่างได้ ก็เพราะมันมี โครงสร้าง/องค์ประกอบที่ “ถูกต้องและเพียงพอ”
- คอมพิวเตอร์ ทำงานตามคำสั่งได้ ก็เพราะมันมี โครงสร้าง/องค์ประกอบที่ “ถูกต้องและเพียงพอ”
- ฯลฯ .....    

ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่เกิดมาบนโลกนี้ สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ทุกคน ถ้าทำตาม “วิธีการที่ถูกต้องที่ผ่านการพิสูจน์..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า....จนนับครั้งไม่ถ้วน”
          ถ้าท่านมีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอในการเป็นเศรษฐี ท่านก็จะสามารถเป็นเศรษฐีได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น เพราะฉะนั้น “ทุกๆความสำเร็จบนโลกนี้ ล้วนมีองค์ประกอบที่สำคัญเสมอ”และเป็นที่แน่นอนว่า “ความเป็นไปไม่ได้ มันเกิดจากความคิด มันไม่ใช่ความจริง”
          ดังนั้นในมุมมองของเศรษฐี “ไม่มีสิ่งไหน ที่มนุษย์ทำไม่ได้” การไปเหยียบดวงจันทร์ มนุษย์ยังทำได้ นับประสาอะไรกะอีแค่ “การเป็นเศรษฐีเงินล้าน มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะเพียงแต่ “ต้องรู้วิธีการที่ถูกต้องแล้วลงมือทำตามอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น” เท่านั้นเอง
          3) เศรษฐี เชื่อ แต่เรื่อง การลิขิตชะตาชีวิตของตัวเองได้ : อธิบายได้ว่า เศรษฐีเชื่อว่า “ตัวเขาเอง ที่เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา”ไม่มีใครหน้าไหนทั้งสิ้นที่จะมาลิขิตชีวิตเขาได้
ด้วยความเชื่อแบบนี้เองที่ทำให้พวกเขา “รับผิดชอบชีวิตของพวกเขา 100%” และด้วยความรับผิดชอบต่อชีวิตพวกเขานี้เองที่ทำให้พวกเขามีเงินทองไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย...
          - เศรษฐี ไม่เคยโทษ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ว่า พวกท่านเหล่านั้น เป็นต้นเหตุของความยากจน เป็นต้นตระกูลแห่งความจนยากไร้…. เพราะพวกเขาเชื่อว่า “ความยากจนไม่ใช่กรรมพันธุ์ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ยากจน ไม่จำเป็นที่พวกเขาต้องยากจนตามไปด้วย” สิ่งที่เศรษฐีทำคือ ละลึกถึงบุญคุณของท่าน และมีความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน แบ่งปันความรักและสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อท่านเสมอเมื่อมีโอกาส...
- เศรษฐี ไม่เคยโทษ ครูบา อาจารย์ ว่า พวกท่านเหล่านั้น ไม่เคยพร่ำสอนวิธีการร่ำรวยเป็นเศรษฐีให้กับพวกเขา ไม่เคยดูถูกครูบาอาจารย์ว่ามีความรู้น้อย... เพราะพวกเขาเชื่อว่า “ความรู้ที่แท้จริง คือความรู้ที่เกิดขึ้นจากภายใน และสิ่งนั้นก็คือ ปัญญา นั่นเอง” หาใช่อยู่ที่ตัวบุคคล.. สิ่งที่เศรษฐีทำ คือ ละลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์และมีความกตัญญูกตเวทีต่อท่านเสมอ..
- เศรษฐี ไม่เคยโทษ เพื่อนฝูง เจ้านาย ลูกน้อง หรือ คนรอบๆกาย ว่า เป็นคนชักจูงพวกเขาไปสู่ความยากจน เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขายากจนเพราะพาไปทำกิจกรรมแห่งความยากจน เช่น ชวนไปเล่นการพนัน ชวนไปดื่มเหล้า เที่ยวเตร่..ฯลฯ... เพราะพวกเขาเชื่อว่า “ถ้าตราบใดที่พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและถูกต้อง พวกเขาจะไม่มีวันออกนอกเส้นทางจนกว่าจะไปถึงจุดหมายเป็นอันขาด” ดังนั้นสิ่งที่เศรษฐีทำคือ
                   1)การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเขียนมันออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
2)วางแผนการดำเนินงานว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง
3)ลงมือทำตามแผนที่วางไว้ในทุกๆขั้นตอน
4)ตรวจสอบ ประเมินผล ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนา...

- เศรษฐี รับผิดชอบ และให้อภัยตัวเอง ว่าต้นเหตุของความยากจนหรือร่ำรวย มันก็คือตัวเขาเองที่ขาด การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การลงมือทำ และ ปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง.. แต่เศรษฐีไม่ได้เอาแต่นั่งโทษตัวเองอยู่อย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่เขาทำคือ “การให้อภัยตัวเอง” เพราะอดีต มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถไปแก้ไขอดีตได้แต่ “ทุกๆความล้มเหลว ย่อมมีแนวทางแห่งความสำเร็จซ่อนอยู่เสมอ” ดัง นั้น เศรษฐีจึงให้อภัยตัวเองและตั้งปณิธานที่จะนำเอาความล้มเหลวมาเป็นบทเรียน แล้วลงมือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ บนพื้นฐานของการ“ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาตัวเอง” อย่างสม่ำเสมอ..
          ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนเป็นความเชื่อที่ทำให้เศรษฐีมีเงินมีทองไหลมาเทมาหาพวกเขาอย่างไม่ขาด สาย เป็นความเชื่อที่เป็นกลางๆที่ใครก็ตามที่เชื่อแบบนี้ ย่อมได้ผลลัพธ์แบบเศรษฐีกันทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น  ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า “เชื่อแบบคนจน ได้ผลลัพธ์ แบบคนจน  แต่ถ้าเชื่อแบบเศรษฐี ย่อมได้ผลลัพธ์ แบบเศรษฐี อย่างแน่นอน 1,000,000%”
วิธีการ เปลี่ยน ความเชื่อแบบคนจน ไปสู่ความเชื่อแบบเศรษฐี ต้องทำอย่างไร ?
          วิธีการเปลี่ยนความเชื่อแบบคนจน ไปสู่ความเชื่อแบบเศรษฐีได้นั้น มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากว่า บุคคลนั้นเป็นคนประเภท “มองเหรียญด้านเดียว” หรือ เป็นคนประเภท “น้ำเต็มแก้ว” ขยายความได้ว่า
- คนประเภท มองเหรียญด้านเดียว คือ คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีมุมมองแคบ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มองรอบด้าน ไม่มีการวิเคราะห์ ไม่มีการสังเคราะห์ ไม่รู้จักเหตุไม่รู้จักผล มองแต่ว่าแนวคิดตัวเองถูกต้องที่สุด ดีเลิศที่สุด หยิ่ง ผยอง ลำพองตัวเองว่าสุดยอดที่สุด...ฯลฯ
- คนประเภท น้ำเต็มแก้ว คือ คนที่ปิดกั้นตัวเองหรือขังตัวเองเอาไว้ในโลกแคบๆ เหมือนกับกบอยู่ในกะลา ไม่ยอมเปิดตามารับรู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงมันเปลี่ยนไปแล้ว รูปแบบการสร้างรายได้มันเปลี่ยนไปแล้ว เช่น
                   - เด็กอายุ 7 ขวบ สามารถหาเงินได้ 2,600,000 บาท ภายใน 1 วัน,
- เด็กอายุ 8 – 9 ขวบ สามารถมีธุรกิจที่สร้างรายได้เดือนละ 1,000,000 ได้
- คนพิการ ไม่มีแขน ไม่มีขา แต่สามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้อย่างสบายๆ
- ฯลฯ ...

          ดัง นั้น วิธีการ เปลี่ยน ความเชื่อแบบคนจน ไปสู่ ความเชื่อแบบเศรษฐี ได้นั้น สามารถทำได้โดยการทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับ บุคคลสองประเภทดังที่กล่าวมา นั่นเอง กล่าวคือการ..
          1) มองเหรียญให้ครบทุกด้าน อย่ามองแค่ด้านเดียว อย่าคิดว่าตัวเองถูกที่สุด เพราะ “เมื่อไหร่ที่เรามองว่า ตัวเองดีที่สุด คนอื่นก็จะกลายเป็นคนเลวไปทั้งหมด”
2) เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ อย่าเป็นกบในกะลา ออกไปค้นหาสิ่งที่ดีกว่าเดิมซึ่งมีอยู่มากมาย
3) เลือกเอาจุดที่เด่นที่สุดในตัวเราออกมาพัฒนาให้ถึงที่สุด ให้รู้ว่าเราเองก็ทำได้ เช่น ร้องเพลง , เล่นดนตรี , เล่นกีฬา , การเขียนหนังสือ , การวาดภาพ , การพิมพ์งาน , การเขียนโปรแกรม ฯลฯ
4) หาต้นแบบแห่งความสำเร็จให้เจอ เช่น เศรษฐีที่รวยด้วยการเป็น นักธุรกิจ , ดารา , นักร้อง , นักแสดง , นักพูด , นักเขียน, นักวิทยาศาสตร์ , นักกีฬา , ตำรวจ , ทหาร , แพทย์ , พยาบาล ฯลฯ....
5) นำภาพแห่งความสำเร็จมาติดไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวันเวลา มองดูภาพนั้นซ้ำๆ  แล้วดื่มด่ำความรู้สึกว่ากำลังได้ครอบครองสิ่งนั้นแล้ว เช่น บ้านในฝัน รถยนต์คันหรูๆ การเดินทางท่องเที่ยว...        

ที่ ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเองที่จะช่วยให้ทุกท่านสามารถเปลี่ยนความ เชื่อได้... ยังมีวิธีการอื่นๆอีกมากมายซึ่งไม่สามารถนำมาบรรยายได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเหมาะกับวิธีการไหนแค่นั้นเอง ลองประยุกต์ไปเรื่อยๆก็จะรู้เอง แต่พื้นฐานต้องเริ่มจากการ “ไม่เป็นคนมองเหรียญด้านเดียว” และ “ไม่เป็นคนน้ำเต็มแก้ว” เพียงแค่นี้ก็จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อได้แล้ว
Workshops ประจำ บทเรียนวันที่ 4 : 
            1)เขียนบรรยายความเชื่อแบบคนจน ที่มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของท่านออกมา แล้วนำมาวิเคราะห์ว่า มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านยากจนหรือไม่ อย่างไร ?
            2)เขียน/วาดภาพ ความเชื่อแบบเศรษฐี ที่ท่านคิดว่า สามารถทำได้ทันที ?
            3)เขียน/วาดภาพ จุดเด่นหรือพรสวรรค์ ที่มีอยู่ในตัวท่านออกมา แล้วเขียนบรรยายว่าจะมีวิธีการพัฒนาจุดเด่นหรือพรสวรรค์นั้นให้ถึงที่สุดได้ อย่างไร ?
            4)หารูปภาพ ต้นแบบแห่งความสำเร็จ ที่ท่านจะนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ?
            5)หา ภาพแห่งความสำเร็จ เช่น บ้านในฝัน รถยนต์คันหรูๆ ภาพสถานที่ท่องเที่ยวฯลฯ มาติดไว้ในที่ที่ท่านจะสามารถมองเห็นและดื่มด่ำความรู้สึกรื่นรมย์เมื่อได้ ครอบครองมันแล้ว ?

คำเตือน! : ถ้าท่านไม่ทำตาม Workshops นี้ ก็อย่าถามหาว่า “จะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร???????”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น